คัมภีร์ : ช่วยเหลือผู้คับขัน ฉุดช่วยผู้อยู่ในอันตราย
อธิบาย : เมื่อพบคนที่อยู่ในภาวะคับขัน เช่น เจ็บป่วยต้องการยารักษา หรือคนที่หิวโหย หนาวสั่น ต้องการอาหาร เสื้อผ้า ก็ควรที่จะใจกว้างช่วยเหลือทันที หรือกรณีตกอยู่ในอันตราย เช่นเกิดภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นอุทกภัย อัคคีภัย หรืออุบัติเหตุ เราก็ควรเข้าไปช่วยเหลือตามความสามารถ ไปดูแลขจัดภไยให้เขาพ้นอันตราย
หากพบคนตกอยู่ในอาการหวาดวิตก คับขัน แม้ใช้เพียงคำพูดที่ดีก็อาจฉุดช่วยเขาได้ บุญกุศลเช่นนี้ส่งผลถึงบรรพชนและคุ้มครองถึงลูกหลานได้ ควรรู้ไว้ว่า ผลักเขาทีหนึ่งกับพยุงเขาทีหนึ่งก็คือมือคู่นี้ การให้ร้ายกับการสรรเสริญผู้อื่น ก็คือปากอันนี้ เพราะฉะนั้น พยุงคนด้วยมือดีกว่า อย่าใช้ปากทำร้ายคน ถ้าหากทำได้ก็อย่าได้ถามถึงกาลข้างหน้า กาลข้างหน้าย่อมดีแน่นอน
การช่วยชีวิตคน ตนเองสิ้นเปลืองไม่มากเท่าไร แต่เป็นเพราะเขาเป็นคนมีกินมีใช้สมบูรณ์ จึงไม่รู้จักความหิวและความหนาวทุกข์ทรมารเป็นอย่างไร เข้าใจว่าไม่มีอะไรจึงไม่ให้ความสนใจ เมื่อมีอาหารก็ไม่ใส่ใจที่จะไปช่วยเหลือคนจน รอจนกระทั่งพวกเขาหิวโหยจนล้มป่วยจึงยอมรับว่าเป็นเวลาที่ต้องเข้าไปช่วยแล้ว แบบนี้ก็หมดหวัง ได้แต่ลืมตาปริบๆ ดูพวกเขาตาย แม้แต่คนที่มีกระใจเดินผ่านมาเห็นเข้าก็ได้แต่เวทนาถอนหายใจเท่านั้น กับคนทั่วไป มองแล้วก็มองไป ไม่ใช่เรื่องของตน เดินหลีกไปไกลๆ
จะต้องรู้ว่า คนที่กำลังหิวเจ็บป่วยง่าย เมื่อเจ็บป่วยก็ไม่มีแรงไปหากิน อย่างนี้ยิ่งหิวก็ยิ่งอาการหนัก เพราะฉะนั้น การช่วยเหลือผู้หิวโหยต้องยิ่งเร็วยิ่งดี แรกๆ ก็หมดข้าวคนไม่กี่ขีด ก็สามารถทำให้เขาฟื้นคืนกำลัง ถ้าเป็นคนรวยการใช้จ่ายคืนหนึ่งก็ช่วยชีวิตได้ถึง 10 ชีวิต ถ้ารวมพลังกันมาก การช่วยเหลือก็จะง่ายๆ หากหาบ้านว่างๆ สักหลังหนึ่ง มีอาหารเสื้อผ้า เก็บเอาไว้ก็จะช่วยให้คนหิว และไม่มีที่นอน ต้องทนทุกข์หนาวสั่นอยู่ข้างนอก การเลี้ยงเขาแบบนี้ทำให้สุขภาพเขาฟื้นขึ้นมาได้ง่าย โดยเฉพาะในหน้าหนาวยิ่งจำเป็นมาก แบบนี้จะช่วยให้พ้นจากการตายจากการอดอยากและหนาวได้มากทีเดียว
นิทาน ๑ : นายหวังหุ้ย ในสมัยซ่ง ระหว่างทางไปสอบที่เมืองหลวงได้ยินเสียงร้องไห้ 2 คนแม่ลูก เสียงร้องไห้ฟังแล้วน่าเวทนายิ่งนัก หวังหุ้ยจึงไปถามคนใกล้เคียง คนใกล้เคียงบอกว่า “แม่ลูกคู่นี้ยากจนมาก เป็นหนี้เงินหลวง ทางการก็เร่งรัด จึงคิดพาลูกสาวไปขายเพื่อใช้หนี้ จึงร้องไห้อย่างนี้ “ หวังหุ้ยจึงไปที่บ้านนาง ก็เห็นว่าเป็นจริงหวังหุ้ยก็พูดกับผู้เป็นแม่ว่า “เธอเอาลูกสาวขายให้ฉัน เพราะฉันเป็นข้าราชการ ต้องผ่านมาแถวนี้อยู่แล้ว อย่างนี้เธอกับลูกก็ได้เห็นหน้ากันประจำ” แล้วก็ให้เงินแก่นางไปไถ่หนี้จากทางการ แล้วก็นัดว่าอีก 3 วัน จะมาพาลูกสาวไป ผ่านไป 3 วัน หวังหุ้ยก็ไม่ได้พาลูกสาวนางไป ผู้เป็นแม่ก็แปลกใจ จึงไปหาที่หวังหุ้ย ตอนนี้หวังหุ้ยก็ไม่อยู่แต่ทิ้งจดหมายไว้ บอกกับคุณแม่ว่า ให้หาลูกเขยที่พึ่งพาได้และแต่งงานลูกสาวเสีย เมื่อหวังหุ้ยไปสอบที่เมืองหลวง เขาสอบติดประกาศอันดับหนี่งถึง 3 ครั้ง ได้รับตำแหน่งสูงมาก และฮ่องเต้ก็สถาปนาเป็นจินกั๊วกง
นิทาน ๒ : ที่ซินเจี้ยน มีช่วงข้าวยากหมากแพง มีครอบครัวหนึ่งจนถึงที่สุด ทั้งบ้านเหลือข้าวแค่ขีดเดียว จึงหุงข้าวแล้วใส่ยาพิษลงไป หวังว่าสามีภรรยากินอิ่มสักมื้อแล้วค่อยตาย กำลังจะกินข้าวอยู่พอดี ผู้ใหญ่บ้านก็เข้ามาเพื่อทวงเงินหลวงที่ยืมไป เห็นข้าวสุกพอดีคิดจะลงไปกินข้าว คนจนผู้นี้จึงเข้าห้ามผู้ใหญ่บ้านแล้วว่า “ข้าวนี้ไม่ใช่ข้าวที่ท่านควรกิน” ว่าแล้วร้องไห้เล่าสาเหตุให้ฟัง ผู้ใหญ่บ้านฟังแล้วก็ให้สงสาร จึงพูดกับเขาว่า “ทำไมเจ้าจึงจนถึงขนาดนี้ เจ้าตามไปที่บ้านข้าจะขาดแคลนแต่ก็ยังมีข้าวอยู่ 5 ถัง เอาอย่างนี้ เจ้าตามไปที่บ้านข้าแบ่งข้าวมากิน พออยู่ได้อีกหลายวัน” คนจนผู้นั้นแบกข้าวกลับมาบ้าน พบว่าในถุงข้าวมีทองอยู่ถึง 50 ตำลึง คนจนคิดว่านี่คงเป็นเงินหลวง จึงรีบนำกลับไปคืนที่บ้านผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่พูดว่า “นี่ไม่ใช่เงินหลวง เบื้องบนคงประทานให้เจ้า” เขาจึงแบ่งทองให้ผู้ใหญ่ไปครึ่งหนึ่ง ทั้งสองบ้านเลยสามารถผ่านช่วงข้าวยากหมากแพงมาได้
นิทาน ๓ : นายต่วนเอ้อปา มียุ้งเก็บข้าวนับ 10 ห้อง พอถึงช่วงข้าวยากหมากแพง ก็คิดฉวยโอกาสทำกำไร ขึ้นราคาข้าวเสียสูงลิ่ว ทางการส่งคนมาขอยืมข้าวเพื่อช่วยเหลือประชาชน ต่วนเอ้อปาตอบรับคำแล้ว พอรุ่งขึ้นเช้า เห็นคนหิวโหยมาเข้าแถวรออยู่ที่หน้าบ้านเพื่อรอรับข้าว ต่วนเอ้อปารู้สึกเสียดาย จึงไม่ยอมจ่ายข้าวให้ประชาชน ประชาชนก็ชุลมุนร้องโวยวาย ต่วนเอ้อปาสั่งลูกน้องให้ปิดประตูบ้าน ไม่ให้คนเข้ามา ในทันใดนั้นฟ้าก็เปลี่ยนปรวนแปรเกิดลมพายุฝน สายฟ้าคำราม พูดแล้วก็แปลก ข้าวในยุ้งของต่วนเอ้อปาไม่รู้ทำอีท่าไหน หลุดออกมากองอยู่บนถนนเป็นกองๆ ประชาชนต่างกรูเข้าไปแย่งเอา แค่พริบตาก็หมดเกลี้ยง ต่วนเอ้อปาก็ถูกฟ้าผ่าตายไป
นิทาน ๔ : ที่เมืองเกาอิว มีคนชื่อ จางไป่ยฟู่ ครั้งหนึ่งเขานั่งเรือไปมองเห็นที่แม่น้ำไกลๆ มีเรือคว่ำ มีคนๆ หนึ่งคลานขึ้นบนเรือที่คว่ำ เรือจมๆ ลอยๆ อันตรายมาก กำลังส่งเสียงขอความช่วยเหลือจางไป่ยฟู่เรียกพวกประมงให้ไปช่วยก็ไม่มีใครยอมไป จางไป่ยฟู่จึงนำเงินขึ้นมา 10 ตำลึง ให้ชาวประมง ชาวประมงจึงยอมไปช่วยเหลือภายหลังการช่วยเหลือ คนที่เกือบจมน้ำตายกลับกลายเป็นลูกชายจางไป่ยฟู่