คัมภีร์ : สั่งสมบุญกุศล
อธิบาย : สั่งสมบุญก็เหมือนสะสมเงินทอง ค่อยๆ เก็บก็จะเพิ่มมากขึ้น สั่งสมกุศลก็เหมือนการก่อกำแพง ก่ออิฐขึ้นทีละก้อน กำแพงก็จะค่อยๆ สูงขึ้น
บุญไม่รู้สั่งสม บุญก็จะไม่เพิ่มขึ้น กุศลไม่ไปทำ บารมีก็ไม่มากขึ้น ก็เหมือนชาวนาที่ขยันไถหว่านก็จะเก็บเกี่ยวได้ในฤดูสารทเหมือนพ่อค้าที่ขยันค้าขายหวังเก็บเงินไว้มาก วันเก็บได้หนึ่งบุญ พรุ่งนี้ก็เก็บอีกหนึ่งบุญ วันนี้สั่งสมได้หนึ่งกุศล พรุ่งนี้ก็เพิ่มได้อีกหนึ่งกุศลอยากคิดจะเป็นเทพเซียนก็ไม่ใช่เป็นเรื่องลำบาก หากจะเป็นเซียนฟ้าต้องทำเรื่องบุญกุศลหนึ่งพันาสามร้อยเรื่อง ทำไปทุกวัน แค่ 4 ปี ก็สำเร็จแล้ว ถ้าจะเป็นเซียนดินก็ทำกุศลแค่สามร้อยเรื่อง วันละหนึ่งเรื่องเพียงปีดึยวก็ได้แล้ว กลัวแต่คนไม่กล้าเปิดใจไปทำหรือทำไปครึ่งๆ กลางๆ ก็เลิกแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อตั้งปณิธานก็ต้องมีความตั้งใจศรัทธา มีใจกล้าหาญ ใจวิริยะ ใจแน่วแน่ ไม่ใช่ตระหนี่เงินแล้วหยุดไปเลย หรือถูกคนอื่นเขาหัวเราะก็เกิดคลางแคลงสงสัย อย่าได้เอาแต่ความสบายจนเคยตัว จนไม่สามารถบังเกิดความกระตือรือร้นอย่าให้ความอยากส่วนตัวเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง จนกระทบกับมรรคผลอย่าเห็นว่างานใหญ่กลัวลำบาก อย่าเห็นว่าบุญเล็กจึงดูแคลน อย่าให้เรื่องงานไม่ว่างเป็นเหตุผลในการบอกปัด อย่าให้รักชื่อเสียงจึงไม่ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ สรุปคือ อย่าหลีกเลี่ยงการถูกตำหนิติเตียน อย่าหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหา อย่าเพราะเลยตามเลย อย่างขาดตอนอย่าตระหนี่ อย่าหวังตอบแทน อย่าหวังชื่อเสียง อะไรเป็นเรื่องกุศลก็ให้ไปทำอย่างยินดี ความสำเร็จที่ได้จากอุปสรรค จึงจะเป็นการสั่งสมบุญกุศลที่แท้จริง
นิทาน ๑ : พระเจ้าจือซวีหยวนจวิน กล่าวว่า “เมื่อก่อนมีคุณหนูชอบเรียนธรรมตั้งแต่เด็ก เขาเข้าไปอยู่ในห้องศิลาบนเขาเจียวซันเวลาผ่านไป 3 ปี ทันใดก็ได้พบท่านอริยเจ้าไท่จี๋ ให้สว่านไม้แก่เขาอั่นหนึ่ง ต้องการให้เขาไปเจาะก้อนหินก้อนใหญ่ให้ทะลุ ทั้งยังบอกเขาว่า “ถ้าหากเจ้าใช้สว่านไม้เจาะทะลุหินก้อนใหญ่ใ ห้ทะลุ ทั้งยังบอกเขาว่า “ถ้าหากเจ้าใช้สว่านไม้เจาะทะลุหินก้อนใหญ่นี้ได้ ฉันก็จะมาฉุดช่วยเจ้า” คุณหูก็เจาะหินก้อนนั้นนานถึง 47 ปี ทันใดนั้นก้อนหินก็ทะลุ แล้วอริยเจ้าไท่จี๋ก็มาฉุดช่วยเขาจริงๆ ด้วย ต้องรู้ว่าการสั่งสมบุญกุศล ไม่ได้อยู่ที่เจาะก้อนหิน เพียงแต่อาศัยเป็นกรณีอธิบาย คือคนก็กลัวที่จะไม่ทำ หรือทำไปแค่ครึ่งเดียวก็หยุด เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตั้งใจงานก็สำเร็จ การเจาะก้อนหินของคุณหนู ก็คือ ประจักษ์พยานที่แจ่มชัด
นิทาน ๒ : สมัยซ้ง ที่เจิ้งเจียงมีผู้ว่าราชการคนหนึ่งชื่อ เก๋อซี้แต่ละปีก็จะทำความดีไว้หลายเรื่อง ติดต่อกันมาไม่มีหยุดนานถึง 40 ปี มีคนไปขอคำชี้แนะ เก๋อซี่พูดว่า “ฉันไม่มีอะไรพิสดาร ทุกวันจะทำเรื่องที่ให้ประโยชน์แก่ผู้อื่นสักหนึ่งสองเรื่องเท่านั้น” แล้วเขาก็ชี้ให้ดูที่แผ่นกระดานที่วางไว้ให้เหยียบขึ้นทึ่นั่งว่า “ถ้ากระดานที่เหยียบวางไม่ตรง ก็อาจกระแทกจนเท้าบาดเจ็บได้ เพราะฉะนั้น ฉันก็เอามันวางให้ตรงเสีย คนที่คอแห้งฉันก็เรียกเขามาดื่มน้ำ เหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์กับผู้อื่น นับตั้งแต่มหาอำมาตย์จนถึงขอทาน ก็สามารถทำเรื่องเหล่านี้ได้ แต่ ต้องมีความพอใจ ทำไปนานๆ ก็จะได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง”
นิทาน ๓ : นายเจียวกง เป็นชาวตงจิง เพราะบ้านตระกูลสามชั่วคนมาแล้วที่ภรรยาคนแรกไม่มีบุตรชายสืบสกุล เขาจึงเที่ยวสืบถามผู้รู้ไปทั่ว เพราะเขาเป็นพ่อค้าที่เดินทางค้าขาย ต่อมาเขาได้พบกับพระภิกษุเฒ่าบอกกับเขาว่า “สาเหตุของการไม่มีบุตรชาย มี 3 อย่าง 1. บรรพชนไม่ได้สั่งสมบุญกุศล 2 ชะตาอายุของสามีภรรยา อาจละเมิดข้อห้ามบางอย่างไว้ 3. ตนเองไม่รักษาสุขภาพ ภรรยามีโรคเลือดเย็น” เจียวกงตอบว่า เรื่องสั่งสมบุญกุศลกับชะตาอายุของสามีภรรยา ล้วนสามาถปฎิบัติได้ แต่เรื่องโรคเลือดเย็นนี่มีวิธีรักษาอย่างไร” ภิกษุผู้เฒ่าตอบว่า “อันนี้ไม่ยาก แต่เธอต้องไปสั่งสมบุญกุศลก่อน ภายหลังก็เสริมสร้างสุขภาพให้ดีสามปีให้หลัง ก็มาถึงอู่ไถซัน ข้าจะห้าตำหรับยาแก่เจ้า” จากนั้นเจียวกงก็เริ่มสร้างบุญสร้างกุศลสร้างบุญลับต่างๆ เขาสั่งสมบุญกุศลอยู่ 3 ปีแล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปสู่อู่ไถซัน เพื่อหาพระภิกษุเฒ่า ก็เห็นแต่ลูกศิษย์วัด ในมือถือม้วนกระดาษ เขาพูดกับเจียวกงว่า “หลวงพ่อบอกให้ฉันมาบอกท่าน ท่านได้สั่งสมบุญกุศลมาครบ 3 ปี แล้ว ก็ให้ไปหายาตามใบยา แล้วก็กินอย่างนอบน้อม จะได้ลูกหลานที่ดีร่ำรวยตามแต่ใจท่านคิด” ต่อมาเจียวกงได้ลูกชาย คือเศรษฐีเจียง แต่ลูกของเศรษฐีเจียงไม่ดี เศรษฐีเจียงถึงกับเสียใจว่า บุญกุศลของตนจึงเสียหายถึงขนาดนี้ จึงไปที่อู่ไถซัน พบแต่ลูกศิษย์ ลูกศิษย์ว่า “หลวงพ่อให้ฉันมาบอกท่านว่า จะมาถามทำไม แต่ทำไมไม่เจริญรอยตามพ่อของทาน สร้างบุญกุศลยังจริงใจซิ แล้วบุตรที่โง่เขลาก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ฉลาด มีความสามารถ ที่ยากจนก็จะร่ำรวยขึ้น เศรษฐีเจียงพูดว่า “ยากจนแล้วเปลี่ยนเป็นคนรวยนี่เป็นชะตาชีวิตของเขาเองแต่ที่โง่เขลามันเป็นธรรมชาติจากสมองของเขาอันนี้ไม่มีทางช่วยเหลือ!” ลูกศิษย์ว่า “ท่านพูดอะไรโง่ๆ อย่างนั้น เขาเปลี่ยนแปลงได้ซิ” ยังพูดต่อว่า “สมัยก่อนตู้อวี่เกิง มีบุตรชาย 5 คน เกิดแรกๆ สุขภาพไม่ค่อยดี รูปร่างก็ไม่ครบถ้วน ต่อมาตู้อวี่เกิงจึงไปที่โจวเอี้ยนซันตั้งใจสร้างบุญสร้างกุศลบุตรชายทั้งห้ากลับกลายเป็นคนดีและยังสอบได้ตำแหน่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์!” เศรษฐีเจียงฟังแล้วก็ขอบคุณลูกศิษย์แล้วกลับไปบ้าน ตั้งใจทำดีสร้างกุศลโดยไม่ลังเลสงสัย 20 ปีต่อมา ลูกชายก็ดีขึ้นหลายคนและทุกๆ คน ก็ได้บุตรดีด้วย
คนในปัจจุบันก็รู้เรื่องนี้ดีว่า ตู้อวี่เกิง แห่งเอี้ยนซัน มีบุตรชาย 5 คน ล้วนมีความร่ำรวยติดต่อกันเป็นที่กล่าวขาน และต่างก็รู้ว่าบุตรของเขาเกิดมาแรกๆ สุขภาพก็ไม่ดี บ้างก็ไม่สมประกอบ ด้วยความมุ่งมานะทำความดี สั่งสมบุญกุศลของนายตู้อวี่เกิงเรื่อยมา จนบุตรของเขาหายจากสุขภาพไม่ดี ทุกคนสุขภาพดี ว่องไว เป็นคนดี ! จะเห็นได้ว่า ฟ้ากับมนุษย์ผสานกันได้ง่ายเช่นนี้ เพียงขอให้มนุษย์มีใจทำงานแน่วแน่และศรัทธา สร้างบุญกุศล อย่าได้เกียจคร้านเลย !
คัมภีร์ : ใจเมตตาต่อสัตว์
อธิบาย : คนดีที่สั่งสมบุญกุศล ไม่เพียงแต่เมตตาให้ความสนิทแก่ประชาชนทั่วไปแล้ว โดยเฉพาะใจเมตตาของเขายังเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์อีกด้วย
เมตตาก็คือ ใจกรุณา เป็นพื้นฐานของความดีทั่วไป ความเมตตามีความหมายสองประการ 1. ช่วยเหลือสงเคราะห์คนจนปัดเป่าความทุกข์ 2. ละเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทั้งยังต้องปล่อยสัตว์เป็นหลักในการสั่งสมบุญกุศล และก็เป็นพื้นฐานของการเป็นคนดี
ในพระไตรปิฎกว่า “หากมนุษย์ไม่ฆ่าชีวิต รักและดูแลชีวิตสัตว์กับปล่อยสัตว์ ให้อาหารเป็นทาน ก็จะได้มีอายุยืนยาวเป็นผลตอบสนอง” ปัจจุบัน พวกเด็กๆ ที่ชอบเล่น มักจะทำร้ายสัตว์ เช่น แมลงปอ นกกระจอก นกเล็กๆ และสัตว์เล็กๆ อื่นๆ เป็นต้น เหล่านี้ผู้ปกครองต้องรู้สึกเจ็บปวดและห้ามปราม อย่าให้เด็กๆ ต้องทำร้ายสัตว์เล็กๆ อย่างนี้ไม่เพียงทำร้ายชีวิตสัตว์แล้วก็ไม่ทำลายบุญวาสนาของเด็กด้วยมิฉะนั้นแล้ว ถ้าสนับสนุนให้เด็กฆ่าสัตว์ พอเด็กโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ เขาก็จะไม่รู้จักเมตตากรุณาให้อภัยเลย ! ตลอดจนคนรับใช้ในบ้านยังชอบเอาน้ำร้อนมาราดพื้น หรือเวลาเผาฟืน กวาดบ้านก็มักจะทำร้ายพวกมด แมลง หนอนเล็กๆ นี่ก็เป็นสิ่งต้องละเว้นนะ ! ไม่ว่าจะเห็นสัตว์อะไรที่ตกลงมาตาย เช่น แมลงเม่าบินเข้าหาตะเกียง หนอนติดตาข่ายใยแมงมุม นกเล็กๆ ถูกทำลาย มดถูกเหยียบ ปลาปูกุ้งหอยถูกติดแหก็ควรเข้าไปช่วยปลดปล่อยมันไป ให้มันมีชีวิตรอด เหล่านี้ล้วนเป็นมีผลตอบสนองให้ชีวิตยืนยาว เป็นเรื่องของการทำความดี
ปณิธานของพระโพธิสัตว์สมันตราภัทร กล่าวว่า “หากสามารถทำให้เวไนยสัตว์ยนิดีแล้ว ตถาคตทั้งหลายก็ยินดีด้วย นี่เป็นเหตุอะไรเหตุก็คือตถาคตทั้งหลายมีมหาเมตตาจิตเป็นพื้นฐานเป็นปัจจัย เพราะสรรพสัตว์เป็นปัจจัย จึงเกิดมหาเมตตา เพราะมหาเมตตา เป็นปัจจัยจึงบังเกิดโพธิจิต เพราะมีโพธิจิตเป็นปัจจัย จึงสามารถสำเร็จมรรคผลอันเวไนยสัตว์ทั้งหลาย สิ่งที่รักที่สุดคือชีวิตของตน กับเหล่าพุทธเจ้าทั้งหลาย เวไนยสัตว์เป็นสิ่งที่เหล่าพุทธเจ้ารักที่สุด เพราะฉะนั้นถ้า สามารถช่วยชีวิตสรรพสัตว์ได้ ก็ทำให้ปณิธานของเหล่าพุทธองค์สำเร็จลุล่วง” บทธรรมตอนนี้ จะเห็นได้ว่าวาจาที่พร่ำสอนของบรรดาพุทธเจ้าโพธิสัตว์ มิใช่หรือที่สอนคนให้ช่วยถอดถอนความเจ็บปวดของเวไนยสัตว์ พวกนอกรีตที่พร่ำพูดสอนคนให้กินเนื้อของเวไนยสัตว์ใช่ไหมล่ะ ! เพราะฉะนั้น เรารู้จักตักเตือนคนให ปล่อยชีวิต ก็คือการฟื้นฟูใจเมตตาของคน นี่ก็คือการสร้างเหตุกุศล เพื่อความสุขเป็นนิจทุกๆ กัป การสอนคนฆ่าชีวิตก็เป็นการปลูกฝังใจโหดเหี้ยมก็เป็นรากวิบากกรรมที่ต้องพบกับการแก้แค้นทุกๆ กัปไป เพราะฉะนั่น เพียงแค่วจีเดียวกัน สามารถสร้างบุญได้ก็สามารถสร้างภัยได้ เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดจะไม่ระมัดระวังหรือ !
นิทาน 1 : สมัยฮั่น หยางเป่า อายุเพียง 9 ขวบ ได้เห็นนกกระจาบเหลืองตัวหนึ่งถูกนกใหญ่จิกบาดเจ็บตกลงที่พื้นดิน บรรดามดก็เข้ามารุมกัด หยางเป่าจึงเข้าไปช่วยเหลือ เอามันใส่ลังไว้ ดูแลมันเอาดอกไม้เหลืองป้อนมัน
จนกระทั่งนกกระจาบหายแล้วก็ปล่อยมันไปค่ำของคืนวันหนึ่ง ก็มีเด็กคนหนึ่งสวมเสื้อสีเหลืองเข้ามาขอบคุณไหว้หยางเป่า เด็กเสื้อเหลืองพูดว่า “ฉันเป็นทูตของพระแม่ซีหวังหมู่ระหว่างทางที่ไปยังพ้งไล้ พอผ่านมาแถวนี้ก็พบกับภัยลำบาก โชคดีที่ท่านช่วยเหลือ เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณ ฉันเอากำไลหยกให้ท่าน 4 อัน มันสามารถทำให้ลูกหลานของท่านได้รับราชการ ได้ตำแหน่งถึงซัมกงอันเป็นตำแหน่งสูงสุด ถ้าความประพฤติของเขาเรียบร้อยดีก็จะเหมือนกำไลหยกขาวที่สะอาด” หลังจากเด็กเสื้อเหลืองพูดจบก็ไม่เห็นเสียแล้ว ต่อมาหยางเป่ามีบุตรคือ หยางจิ้ง บุตรของหยางจิ้ง คือหยางปิ่น บุตรของหยางปิ่น คือ หยางสู้ บุตรของหยางสู้ คือ หยางปิงสืบรุ่นกันมาถึง 4 รุ่น ล้วนได้รับราชการเป็นถึงตำแหน่งซัมกง แต่ละคนก็มีคุณสมบัติดีเยี่ยม สมัยนั้นไม่มีใครสามารถเทียบเคียงได้เลย !
นิทาน 2 : นายเซิ้นวั้นซัน เป็นคนสมัยหมิง ครั้งหนึ่งเขาเห็นคนจับกบจำนวนหลายร้อยตัวเตรียมนำไปฆ่า เซิ้นวั้นซันเห็นแล้วก็ทนเห็นพวกกบเหล่านี้ถูกฆ่าไม่ได้ จึงซื้อกบขึ้นมาหมด แล้วนำมันไปปล่อยไว้ที่สระน้ำ ให้พวกมันมีชีวิตอิสระสบาย อยู่มาวันหนึ่ง เซินวั้นซันเดินผ่านสระน้ำนั้น เห็นกบขี่กันเป็นกองใหญ่ ล้อมกันเป็นวงกลมพวกมันอยู่บนอ่างกระเบื้องใบหนึ่ง พวกมันร้องอ๊อบๆ เหมือนกับพูดว่า “เซินวั้นซันๆ เอาอ่างกระเบื้องไปด้วย!” เซินวั้นซันจึง่นำเอาอ่างกระเบื้องกลับบ้านไป และใช้เป็นอ่างล้าง มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาล้างมือในอ่างใบนี้แหวนบนนิ้วก็บังเอิญหลุดลงในอ่างโดยไม่รู้ตัว พอถึงรุ่งเช้าเขาจึงรู้ตัวจึงไปหาที่อ่าง ตอนนี้เขาเห็นแหวนเต็มอ่างไปหมด ! ที่แท้อ่างนี้จึงเป็นของวิเศษ ! เซินวั้นซันจึงกลายเป็นมหาเศรษฐีหาคนเปรียบไม่ได้
นิทาน 3 : พระธรรมาจารย์เซ็นเอี๋ยงโซ่ว อยู่ในสมัยซ่ง เดิมทีแซ่หวังเป็นชาวเมืองตันหยาง เริ่มแรกรับราชการแผนกภาษีของอำเภออวี่เถาเพราะว่าเขามักซื้อปลาปล่อยเป็นประจำ เงินเดื่อนใช้จนหมดจึงไปเอาในส่วนกองคลังมาใช้ ในที่สุดเจ้านายตรวจพบ จึงรู้ว่าเขาได้ใช้เงินของกองคลังไปถึงสิบหมื่น ตามกฎหมายสมัยนั้น เขาต้องโทษประหารชีวิต ขณะที่จะถูกตัดหัว สีหน้าของนายหวังไม่เปลี่ยนเลย ทั้งยังพูดกับเพื่อนของเขา ซึ่งจะเป็นผู้ประหารเขา ชื่อสี่จื้อซินว่า “ฉันได้ปล่อยชีวิตนับร้อยล้านชีวิตแล้ว วันนี้ฉันตายก็ไม่เสียใจ เพราะใจฉันตั้งใจไปเกิดแดนสุขาวดี นี่จะไม่สุขสบายกว่าหรือ” พูดจบเขาก็พนมมือท่องนามพระพุทธ ไม่กลัวตายแม้แต่น้อย เพชฌฆาตก็แกว่งดาบฟันลงที่คอของนายหวัง ได้ยินแต่เสียงแชะ ดาบก็ขาดเป็น 3 ท่อน เพชฌฆาตลี่จื้อซินรีบทำรายงานเหตุการณ์ทูลพระเฉียนเหลียวอ๋อง ท่านพระเฉียนเหลียวอ๋อง ก็เป็นคนนับถือพุทธศาสนา และมีความเมตตา เมื่ออ่านรายงานจบก็สั่งให้ปล่อยตัวนายหวัง แล้วคืนตำแหน่งให้ แต่นายหวังปล่อยวางทางโลก ออกบวชศึกษาพระธรรม มีความวิริยะบำเพ็ญศีลสมาธิปัญญา มีครั้งหนึ่งเขาฝันว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมเอาน้ำมนต์กรอกใส่ปากเขา ดังนั้น ปัญญาเขาก็สว่างขึ้น ได้แต่งคัมภีร์หมื่นกุศลไว้ 6 เล่ม และประจำอยู่วัดหย่งหมิง ภายหลังได้เป็นสังฆปริณายกสายสุขาวดี อันดับที่ 6 อายุได้ 72 ปี ก็นั่งสมาธิมรณภาพไป ต่อมามีพระสงฆ์รูปหนึ่ง จะเดินรอบเจดีย์ที่เก็บกระดูกของธรรมาจารย์เอี้ยงโซ่วทุกวัน มีผู้ถามถึงสาเหตุ พระสงฆ์ตอบว่า “ฉันเป็นคนบู๋โจว เพราะว่าเคยป่วยหนักมาแล้ว ถูกยมพูตจับตัวไปยังยมโลก เห็นที่ยมโลกมีรูปภาพรูปหนึ่งแขวนไว้ ฉันเห็นยมบาลยังไหว้รูปภาพนั้นอย่างนอบน้อม ฉันรู สึกแปลกใจจึงถามยมทูตที่อยู่ข้างๆ ว่า “ภาพในรูปเป็นใคร” ยมทูตตอบว่า “ภาพในรูปคือ อาจารย์เอี้ยงโซ่วแห่งวัดหย่งหมิง คนที่ตายแล้วก็ต้องมาที่ตรงนี้ มีแต่ท่านธรรมาจารย์เอี้ยงโซ่ว ไปปฏิสนธิแดนสุขาวดีโดยตรง ทั้งยังได้อยู่ขั้นหนึ่ง เกรดหนึ่ง ดังนั้น ท่านยมบาลจึงนับถืออาจารย์นี้มาก เพราะฉะนั้นจึงไหว้รูปนี้” จะเห็นได้ว่า เมตตาปล่อยชีวิต ตั้งใจไปเกิดแดนสุขาวดี แม้ยมบาลในยมโลกก็นับถือกราบไหว้เลย +
คำคม : อาจารย์เหลียนฉือไต้ซือ ในสมัยหมิง ได้นิพนธ์บทละเว้นฆ่าชีวิต เพื่อใช้ตักเตือนชาวโลก ท่านพูดว่า “แต่ละคนก็รักชีวิต สัตว์ก็เหมือนกันต่างอยากมีชีวิต กลัวตาย แล้วจะไปฆ่าพวกเขาได้อย่างไรเพื่อบำเรอปากท้องของเรา ตอนจะฆ่าก็ต้องเอามีดคมเฉือนเปิดพุงของมัน เอามีดแหลมทิ่มแทงคออวัยวะของมัน บ้างก็ลอกเอาหนังบ้างก็ถอดเกล็ด เชือดเฉือนออกเป็นชิ้น หรือเอาหอยปูปลาโยนลงในหม้อน้ำเดือด หรือใช้เกลือบ้าง เหล้าบ้าง ดองหอยปูและกุ้ง น่าสงสารมาก ! พวกมันต้องพบกับความเจ็บปวดทรมาน หมดหนทางที่จะแก้แค้นความเจ็บปวดสุดยอดเช่นนี้ อดทนได้ยากยิ่ง มนุษย์สร้างบาปกรรมฆ่าตัดวิญญาณอันเป็นวิบากกรรมท่วมฟ้าเช่นนี้ กับเหล่าวิญญาณที่ถูกทำลาย จึงเป็นเหตุที่ได้ผูกเวรที่ต้องจองล้างจองผลาญกันไปเป็นหมื่นๆ ชาติ เมื่อไรที่อนิจจังมาถึงก็ต้องตกสู่ขุมนรก ต้องรับโทษในนรก ไม่ว่าจะน้ำทองแดงเดือด เตาไฟ เนินมีด ต้นงิ้วฯ รับโทษที่เจ็บปวดจนกว่าโทษในนรกจะหมดลง หลังจากกนั้นให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพื่อชดใช้หนี้ให้เขากินเนื้อ เป็นผลตอบสนอง ชดใช้หนี้ชีวิตจนหมดจึงกลับเกิดเป็นคนใหม่ ก็มักเจ็บป่วยบ่อยๆ หรือไม่ก็ตายแต่เยาว์วัยด้วยเหตุนี้ ฉันโอดโอยบอกเล่าชาวโลก เพื่อให้ชาวโลกละเว้นฆ่าชีวิตทั้งยังต้องอาศัยตามแรงของตนไปปล่อยสัตว์ เพิ่มการสวดพุทธะเช่นนี้มีเพียงเพิ่มพูนบุญวาสนาของตนเอง ก็ยังสามารถตั้งปณิธานไปเกิดแดนสุขาวดีได้ จะได้พ้นจากวัฎสงสาร การฉุดช่วยเวไนยสัตว์บุญกุศล เหลือคณานับ”