คัมภีร์ : ไม่โพทนาความชั่วเขา ไม่โอ้อวดความดีตน
อธิบาย : จงอย่าได้เปิดเผยโพนทะนาความชั่วหรือจุดด้อยของผู้อื่นสมควรอย่างยิ่งที่จะเก็บงำความไม่ดีของผู้อื่นให้ดีที่สุด ขณะเดียวกันก็ไม่ควรโอ้อวดหรือคุยถึงความดีของตน ยิ่งต้องเก็บซ่อนความเด่นบ่มเลี้ยงความซื่อ เป็นการอบรมจิตธรรมของตนเอง
เมื่อได้ยินความไม่ดีงามของผู้อื่น ก็ให้เหมือนพวกเราได้ยินชื่อของพ่อแม่ คือหูได้แต่ฟังเท่านั้น แต่ปากพูดออกมาไม่ได้ เมื่อปากพูดไม่ได้แล้ว ถ้าหูไม่ไปฟังเสียได้ก็จะยิ่งดี เราต้องรู้ว่ามีใครบ้างที่ไม่มีข้อบกพร่อง ถ้าไปโพนทะนาข้อบกพร่องของผู้อื่นก็หลีกไม่ได้ที่จะถูกถ่ายทอดออกไป เป็นการเสียหายชื่อเสียงของผู้อื่น อาจทำให้เขาต้องตกต่ำ บาปรรมอันนี้ใครกันต้องรับผิดชอบ ถ้าไม่เป็นคนใจแคบชั่วช้าแล้วก็จะไม่ทำเรื่องแบบนี้แน่ !
สิ่งที่เนปมเด่นความดี ก็ควรให้เหมือนนักธุรกิจที่มีปัญญาคือจะเก็บซ่อนทรัพย์สินไม่เปิดเผย ถ้าหากเปิดเผยเงินทองให้คนรู้ก็จะมีอันตราย คนเราทุกคนก็ต้องมีจุดดีของเขา ที่สำคัญต้องรู้จักเก็บซ่อนความเด่น บ่มเลี้ยงจิตธรรมเช่นนี้ทุกวันไปก็จะสำเร็จในจริยวัตรของตนได้ ท่านเหลาจื่อว่า “ผู้มีบุญอิ่ม หน้าของเขาดูแล้วเหมือนคนเซ่อๆ” ท่านจื่อซือก็กล่าวว่า “ธรรมเพื่อผู้อื่น บัณฑิตจะไม่เผย เก็บความงามอยู่ภายใน นานๆ ไป สักวันหนึ่งฟ้าก็แจ้งชัด” โอวาทของปราชญ์ชัดเจนออกอย่างนี้ เราควรนำมาพิจารณาให้ละเอียด !
นิทาน ๑ : ในสมัยชุนชิว ฮ่องเต้ฉู่จวงอ๋อง ประทานเลี้ยงอาหารค่ำแก่ขุนนาง งานเลี้ยงผ่านไปได้ครึ่งหนึ่ง เทียนไขก็ดับลงฉับพลัน มีขุนนางคนหนึ่งดื่มสุราจนเมา ถือโอวาทที่มืด ดึงเสื้อของนางสนมถือโอกาสลวนลาม นางสนมของฉู่จวงอ๋อง รีบดึงสายรัดหมวกของขุนนางเอาไว้เป็นหลักฐาน แล้วกราบทูลให้ท่านอ๋องทราบ หลังจากท่านอ๋องทราบแล้วก็พูดกับสนมว่า “ข้าประทานเลี้ยงแก่ขุนนาง ก็มุ่งหมายให้ขุนนางดื่มกินอย่างพอใจ ตอนนี้มีคนดื่มจนเมา ล่วงละเมิดความผิดขึ้น ถ้าข้าเปิดเผยเรื่องลวนลามนางสนม ก็จะเป็นการเปิดเผยความผิดของขุนนาง เรื่องเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ทำเป็นอันขาด !” ว่าแล้วท่านอ๋องก็สั่งให้จุดเทียนขึ้น พร้อมตรัสว่า “งานเลี้ยงคืนนี้ ถ้าไม่ดึงสายหมวกให้ขาดก็แสดงว่าคืนนี้พวกท่านไม่ปิติยินดี” เมื่อทุกคนได้ยินแล้วต่างก็ดึงสายรัดหมวกขาดแล้วก็แยกย้ายกันกลับไป ต่อมาก็สงครามกับเมื่องจิ๋น ท่านอ๋องถูกทหารคนหนึ่งไม่กลัวตาย ยอมถวายชีวิตเข้าต่อสู้กับทหารจิ๋น ทำให้ท่านอ๋องพ้นจากอันตรายมาได้ จากการสอบถามจึงรู้ว่า ทหารกล้าผู้นี้ก็คือ ทหารที่เมาสุราและลวนลามนางสนมจนถูกดึงสายรัดหมวกขาด !
คำคม : คุณจางหงจิ้งกล่าวว่า “อย่าหูเบาโยนทิ้งความดีของคนอย่าหูเบาเชื่อคำพูดของคน อย่าหูเบาพอใจคน อย่าหูเบาพูดความชั่วคน” นี่คือปฏิบัติตนที่ดี การเผยความไม่ดีของผู้อื่น เป็นรากฐานของการโหดเหี้ยม
นิทาน ๒ : โอวหยางซิว ในสมัยซ่ง เป็นผู้เขียนบทความยอดเยี่ยมในประวัติศาสตร์ถือเป็นผู้มีชื่อเสียงเรื่องวรรณกรรม แต่เขาต้อนรับแขกก็พูดเรื่องการเมือง ไม่พูดเรื่องวรรณกรรม แต่เขาต้อนรับแขกก็พูดเรื่องการเมือง ไม่พูดเรื่องวรรณกรรม แต่นายฉายหย้างผู้รู้เรื่องการปกครอง แต่พูดคุยกับแขกจะพูดเรื่องวรรณกรรม ไม่พูดการเมือง ทั้งสองเป็นผู้ซ่อนเร้นปมเด่นของตนดีมาก ต่อหน้าผู้อื่นจะไม่อวดอ้างความดีของตน เพราะฉะนั้น จึงเป็นผู้มีชื่อเสียง มีตำแหน่งข้าราชการก็สูงมาก
สรุป : จากเรื่องเหล่านี้จะเห็นได้ว่า ความสามารถสู้วิชาการไม่ได้ ศักดิ์ศรีสู้คุณธรรมไม่ได้ วรรณกรรมสู้การปฏิบัติมิตรไมตรีไม่ได้ คนสมัยก่อน ก็เอาเหตุผลเหล่านี้พูดไว้ชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้น การอวดความดีของตน บัณฑิตจะไม่กระทำ แต่คนในสมัยนี้ มักพูดว่า “น่าภาคภูมิ” ติดปาก ทุกคนฟังจนเป็นคำธรรมดาไป พวกเขาไม่ถือเป็นเรื่องผิด ต้องรู้ว่าเป็นการกวักหาความสูญเสีย ขาดผลประโยชน์มีแต่ความนอบน้อมคนเท่านั้น จึงจะได้รับผลบุญตอบสนองที่แท้จริง