คัมภีร์ : สงสารผู้หม้ายกำพร้ายากไร้
เคารพอาวุโสห่วงใยผู้เยาว์
อธิบาย : การสงสารคนกำพร้าโดยเฉพาะเด็กกำพร้า ต้องเลี้ยงดูแลเขาอย่างเต็มที่ และให้เขามีอาชีพมีความสำเร็จในชีวิต การเวทนาแม่หม้ายก็ต้องปกป้องคุ้มครองเธอให้ถึงที่สุด ให้เธอได้ชื่อว่าเป็นหญิงหม้ายที่บริสุทธิ์ การเคารพผู้มีอายุมากกว่า หรือผู้เฒ่า ให้พวกเขาได้รับการเลี้ยงดูและมีความสงบสุข การรักใคร่ห่วงใยผู้เยาว์ ต้องให้การศึกษาและคุ้มครอง
ชีวิตคนที่อับโชคที่สุด ก็คือลูกกำพร้าและหญิงหม้ายโดยเฉพาะถ้ายากจนด้วยก็ยิ่งน่าสงสาร เกรงว่าชีวิตจะดำรงอยู่ได้ยาก เพราะฉะนั้นการบริจารเพื่อให้พวกเขาอยู่ได้ในสังคมแล้ว ต้องช่วยเหลือเด็กกำพร้าและแม่หม้ายเป็นอันดับแรก พ่อแม่ของเด็กกำพร้าก็ดีสามีของแม่หม้ายก็ดี เชื่อว่าวิญญาณพวกเขาในปรโลกคงรู้สึกขอบพระ
คุณเป็นแน่แท้
ผู้เฒ่าและผู้เยาว์ที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ หากยากจนและเจ็บป่วยก็ยิ่งเป็นทุกข์ จะให้ชีวิตเขาดำรงอยู่ได้ก็ใช่ว่าจะง่ายนักเพราะฉะนั้น ในอดีตโบราณอริยราชา เช่น โจวเหลินอ๋อง การปกครองของพระองค์จึงให้ความสำ
คัญที่จุดนี้ แม้แต่อุดมการณ์ของท่านขงจื่อยังเคยกล่าวไว้ว่า “ให้ผู้เฒ่าสุขผู้เยาว์ดูแล” อันนี้เพราะเหตุอันใดหรือจุดมุ่งหมายก็เพื่อให้จิตดีงามได้เผยออกมาได้ง่าย เมื่อมีจิตดีงามแล้วเรื่องดีๆ ที่จะทำก็มีมาก ซึ่งปกติก็ยากที่จะทำได้สมบูรณ์ สำหรับคนที่ไม่มีแรงทรัพย์ก็ต้องใช้แรงกายไปทำจนถึงที่สุด แต่สำหรับผู้มีแรงทรัพย์ก็ควรทำสุดความเวทนาสงสาร การเคารพผู้อาวุโสและห่วงใยผู้เยาว์ก็เช่นเดียวกัน อย่าเพียงแต่พูดว่า “ฉันสงสารอยู่ในใจก็พอแล้ว” อันนี้ถือว่าไม่รับผิดชอบและเป็นการผลักภาระ
นิทาน ๑ : ในสมัยโจว ขณะที่เมืองฉีเข้าตีเมืองหลู ที่นอกเมืองก็มีหญิงชาวหลูคนหนึ่ง ในมืออุ้มเด็กคนหนึ่ง และจูงเด็กอีกมือหนึ่ง ขณะหนีเอาชีวิตรอด นางจึงวางเด็กที่อุ้มลง และไปอุ้มเด็กที่จูงอยู่แทนนายทหารเมืองฉีเห็นเข้าก็สงสัย จึงเข้าไปถามนางๆ ตอบว่า “เด็กที่อุ้มเป็นบุตรของพี่ชาย แต่เด็กที่วางลงเป็นลูกแท้ๆ ของฉัน” ทหารเมืองฉีก็ถามต่อไปอีกว่า “ทำไมจึงทิ้งลูกของตัวแล้วไปอุ้มลูกของพี่ชายเล่า” นางตอบว่า “ลูกกับแม่เป็นความรักส่วนตัว แต่หลานกับอาถือเป็นสัจจะส่วนรวม หากฉันละเมิดสัจจะส่วนรวมและลำเอียงเห็นแก่ความรักส่วนตัวแล้ว ลูกกำพร้าของพี่ชายก็จะจบลง จึงเป็นสิ่งที่ฉันไม่ยอมทำ” เมื่อนายทหารเมืองฉีได้ฟังวาจาเช่นนั้น จึงพูดว่า “พวกเมืองหลูยังมีหญิงที่ถือสัจจะเช่นนี้ แล้วเจ้าเมืองหลูเล่าจะเป็นเช่นใด” พูดจบจึงถอยทหารกลับไป ไม่ตีเมืองหลูอีก เมื่อเจ้าเมืองหลูได้ยินเรื่องนี้ จึงปูนบำเหน็จรางวัลแก่หญิงผู้นั้น พร้อมกับยกย่องให้เธอ “คุณอาสัจจะแห่งหลู”
การที่หญิงเมืองหลู ยอมสละความรักส่วนตัวเพื่อช่วยชีวิตลูกชายของพี่ชายที่เป็นลูกกำพร้า เพียงคำพูดของนางที่สามารถรักษาเมืองหลูให้ปลอดภัยได้ หยุดการสงครามได้ครั้งหนึ่ง แล้วพวกหนุ่มชายฉกรรจ์ละ ถ้าหากประเทศชาติตกอยู่ในอันตราย ไม่เพียงละเมิดสัจจะแล้วยังกลัวตายหนีเอาชีวิต เมื่อมาเห็นคุณอาสัจจะแห่งหลูจะรู้สึกละอายใจบ้างไหม ?
นิทาน ๒ : หยางต้าเหนียน อายุ 20 ปี ก็สอบได้ตำแหน่งจอหงวนได้ร่วมงานกับ โจวอู๋ และ จูเอี๋ยน ซึ่งทั้งสองก็มีอายุมากแล้ว อยู่ในวัยชรา หยางต้าเหนียนมักจะดูแคลนและชอบทำอัปยศพวกเขาโจวอู๋คิดจะตักเตือนหยางต้าเหนียนว่า “เธออย่าได้ข่มเหงคนแก่เลยสักวันหนึ่งเธอก็ต้องแก่เหมือนกัน !” จูเอี๋ยนแกว่งศีรษะพูดกับโจวอู๋ว่า “อย่าพูดกับเขาเลย อย่าพูดกับเขาเลย เดี๋ยวจะถูกเขาเย้ยหยันเอาอีก” ปรากฎว่าหยางต้าเหนียนก็ตายในขณะที่ยังหนุ่มอยู่
มีคำกล่าวว่า “เคารพแก่ก็ได้แก่” ควรรู้ว่าคนแก่ผ่านประสบการณ์มามาก มีชีวิตอยู่จนแก่ชราได้ ถือว่าเป็นหนึ่งในห้าบุญวาสนา จึงมีคุณค่าที่คนหนุ่มสาวต้องเอาอย่างมาเคารพผู้อาวุโส จะไปดูแคลนคนแก่ได้อย่างไร แต่ชาวโลกมักเห็นว่าคนแก่ตาลาย เดินเหินไม่คล่อง ถ้าไม่เบื่อหน่ายก็จะข่มเหง จะมีใครยอมเคารพปรนนิบัติคนแก่เล่าเมื่อมาเห็นหยางต้าเหนียนที่ข่มเหงคนแก่แล้วตายเร็วเป็นตัวอย่างก็หวังว่าพวกหนุ่มสาวจะกลับใจแก้ไขสำนึกผิด มีน้ำใจ เมื่อพบคนแก่ต้องมีความเป็นธรรม ไม่ว่าคนแก่ผู้นั้นจะร่ำรวยหรือยากจน ก็ต้องเคารพด้วยความเป็นธรรม ถ้าเช่นนี้ตนเองก็จะมีอายุยืน อย่าได้ข่มเหงคนแก่เป็นอันขาด เพราะจะถูกตัดทอนอายุขัยและบุญวาสนาของตนเองนะ !
นิทาน ๓ : นายหวังปิง ตอนยังเป็นเด็กหนุ่ม ร่างกายเจ็บป่วยบ่อยและอาการป่วยก็หนักด้วย ตัวเองคิดว่า “ร่างกายฉันแย่อย่างนี้ คงมีชีวิตอยู่ไม่นาน” จากนั้นมา เมื่อเขาเห็นคนแก่เขาจะเคารพมาก และก็ชื่นชมพวกเขา คนแก่ที่เดินผ่านหน้าบ้านหวังปิง แม้ว่าจะยากจนหวังเปิงก็จะลุกขึ้นแสดงความเคารพ ขณะหวังปิงเดินอยู่ในถนนเมื่อพบคนแก่ก็จะหลีกทางให้คนแก่ไปก่อน ต่อมาการเจ็บป่วยของหวังปิงก็ค่อยๆ ดีขึ้น เรี่ยวแรงนับวันก็เพิ่มขึ้น ในที่สุดเขาก็มีอายุอยู่ถึง 93 ปี
นิทาน ๔ : ในสมัยสุ้ย มีภิกษุรูปหนึ่งมีอายุร้อยกว่าปี เขาเข้าใจหลักธรรมของอวตังสกะสูตรอย่างลึกซึ้ง เขาเคยพูดกับมวลชนว่า “อาตมาเคารพผู้เฒ่าก็เหมือนเคารพบิดามารดาของตนเอง ปรนนิบัติพวกเขาก็เหมือนปรนนิบัติพระโพธิสัตว์ อะไรที่อาตมาทำได้ก็จะไปทำจนสุดความสามารถสุดแรง อาตมาสามารถเข้าใจพุทธธรรมได้และมีอายุยืนถึงขนาดนี้ ก็เพราะเคารพผู้เฒ่าเป็นสาเหตุ เพราะฉะนั้นจึงหวังพวกท่านจะไม่ดูแคลนและข่มเหงคนแก่ เพราะมันจะบั่นทอนบุญวาสนาและอายุได้ จะต้องรู้ว่าเกียรติยศในโลกนี้ เหมือนความฝันเป็นมายา เหมือนฟองน้ำเหมือนเงา ชั่วลัดนิ้วก็ผ่านไปแล้ว จะต้องเข้าใจอย่าให้เกียรติยศและผลประโยชน์ล่ามติดเลย ต้องฝึกที่จิตใจของเรามิฉะนั้น ก็เท่ากับมาโลกนี้เสียเที่ยวเปล่า ผ่านชีวิตที่มีค่าของความเป็นคนไป ตามที่บรรดาพุทธเจ้ามีโอวาทแนะนำสั่งสอนว่า “หวังมีชีวิตยืนยาว พึงกระทำความดีทั้งปวง หวังให้บุญวาสนาเจริญ ให้ช่วยสงเคราะห์คนกว้างขวาง” น่าเสียดายที่พวกเราได้ทำผิดพลาดไปแล้ว หากคนหนุ่มสาวคิดว่าตนมีความรู้ ฉลาดจึงหยิ่งยโส ดูแคลนอัปยศคนแก่ กลับไม่รู้ว่าความมีอายุยืนเป็นบุญวาสนาที่เบื้องบนประทานให้ผู้เฒ่าเป็นผู้ที่อริยกษัตริย์ให้ความเคารพ คนหนุ่มที่สามารถก็ไม่แน่ว่าจะได้อยู่จนแก่เหมือนพวกเขานะ”
นิทาน ๕ : ในสมัยถัง หยวนเต๋อซิ้ว ในครอบครัวยากจนมาก พี่ชายก็ตายแต่หนุ่ม ทิ้งลูกน้อยยังไม่ถึงเดือน พี่สะใภ้เสียใจมากจนตายตามพี่ชายไป เด็กทารกจึงไม่มีนมกิน เกรงว่าจะหิวตาย หยวนเต๋อซิวร้องไห้ทั้งวันคื่น อุ้มลูของพี่ชายไว้ ก็เลยเอานมของตัวให้เด็กอมโดยไม่ได้คิดอะไร เวลาก็ผ่านไปถึง 10 วัน นมของหยวนเต๋อซิวก็ให้มีน้ำนมไหล เด็กน้อยได้กินนมของหยวนเต๋อซิ้ว ในที่สุดก็มีชีวิตอยู่จนโตเรื่องนี้ถึงแม้เป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็ให้คติว่า “ห่วงใยเด็ก” เป็นการร่วมเข้ากับใจฟ้าอย่างลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น จึงมีผลตอบสนองเช่นนี้ท่านขงจื่อกล่าวว่า “ผู้เยาว์ให้ห่วงใย” ท่านเมิ่งจื่อก็กล่าวว่า “ให้ฉันเยาว์ก็ให้ความเยาว์แก่ผู้อื่น” เหล่านี้ล้วนเป็นโอวาทของปราชญ์ที่ให้ไว้เป็นผู้อาวุโสเขาก็ควรเข้าใจให้ดีด้วย !
คัมภีร์ : ไม่ทำร้ายหนอนหญ้าต้นไม้
อธิบาย : ถึงแม้จะหนอนตัวเล็กๆ หรือต้นหญ้าต้นไม้ที่ไม่มีอารมณ์ก็ไม่ควรทำร้าย คนในปัจจุบันชอบทำร้ายชีวิตและสิ่งต่างๆ ตามชอบใจ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ มีวิญญาณมีอารมณ์มีชีวิตสิ่งเหล่านี้ล้วนมีพุทธจิต ชาวหยูก็มีกล่าวไว้ “ต้นไม้ที่กำลังเติบโตไปตัดมันไม่ได้” เป็นโอวาท นับอะไรกับหนอนซึ่งเป็นสัตว์ตัวเล็กๆ ที่มีความรู้สึก ต้นไม้ไม่มีความรู้สึก เราก็ไปทำร้ายตามอำเภอใจไม่ได้
ในพระสูตรบรรลุสมบูรณ์ พูดไว้ว่า “อะไรที่มีเลือดลม ต้องมีความรู้สึก สิ่งที่มีความรู้สึก ต้องเหมือนเป็นร่างเดียวกัน” ในศูรางคมสูตรก็ว่าไว้ “ตถาคตเจ้าตรัสเป็นประจำว่า “สรรพสิ่งที่สำเร็จเป็นรูปในจักรวาล ล้วนเปลี่ยนแปลงออกมาจากใจของเราเอง เหตุและผลทั้งปวงที่เกิดในโลกนี้ ตลอดจนถึงฝุ่นเล็ก ๆ ล้วนเป็นผลที่ใจนี้สร้างขึ้น ตลอดจนหญ้า 1 ต้น ใบไม้ 1 ใบ ใยหนึ่งเส้น ปมหนึ่งปมติดตามถึงต้นมูลแล้ว ล้วนมีองค์จิตทั้งนั้น”
ตัวอย่างพี่น้องเถียนจินที่คิดจะแบ่งต้นไม้หน้าบ้าน ต้นไม้ได้ยินก็เหี่ยวเฉาทันที จึงสะเทือนใจพี่น้องเถียนจิน เลยเลิกคิดแบ่งแยกต้นจือได้ยินก็ฟื้นชีวิตทันที แล้วจะพูดว่าต้นไม้ไม่รู้ได้หรือ
จุดมุ่งหมายที่ท่านไท่ซั่งห้ามปรามก็ต้องการให้คนกระทำต่อสิ่งที่มีอารมณ์ทั้งหลายก็ดี กับสิ่งที่ไม่มีอารมณ์ทั้งหลายก็ดี ต้องบ่มเลี้ยงใจให้มีเมตตานั่นเอง
นิทาน ๑ : ในสมัยพุทธองค์ : ขณะที่พุทธองค์กำลังบรรยายธรรมอยู่ที่บ่อน้ำมีคางคกตัวหนึ่ง ชอบกระโดดขึ้นมาอยู่ข้างบ่อน้ำ ตั้งใจฟังธรรมก็ให้บังเอิญเจ้าคางคกก็ถูกไม้เท้าของคนที่มาฟังธรรมกระแทกตายเนื่องจากตั้งใจฟังธรรมจึงมีอานิสงค์มาก เพราะฉะนั้น เมื่อคาง่คกตายแล้วก็ไปปฏิสนธิบนดาวดึงษ์ ได้เป็นถึงท้าวสักกะเทวราช เมื่อพุทธองค์บรรยายธรรมก็ลงมาฟังธรรมอีก ภายหลังฟังธรรมแล้วก็บรรลุธรรมขั้นโสดาบัน อันเป็นอริยบุคคลอันดับแรกของสาวกยานคางคกเป็นสัตว์เล็กๆ ก็ยังสามารถไปถึงขั้นอริยบุคคลได้ จะเห็นได้ว่าสัตว์เล็กๆ เช่น หนอน ก็จะไปทำร้ายไม่ได้
นิทาน ๒ : สมัยก่อนมีผู้ออกบวชคนหนึ่ง บำเพ็ญยังไม่ได้มรรคผลดังนั่น การได้รับการอุปัฎฐากจารกสองคนพ่อลูก จิงเต๋อ ก็ว่างเปล่าภายหลังตายแล้ว เขาก็กลายเป็นจำพวกเห็ดชนิดหนึ่ง ในสวนดอกไม้ของบ้านจิงเต๋อ ไปเป็นผักหญ้าให้ครอบครัวจิงเต๋อรับประทาน พอคนอื่นคิดจะไปเด็ด ทำเท่าไรก็เอาไม่ได้ ซึ่งเห็ดหญ้าชนิดนี้เป็นต้นเล็กมาก เป็นเพราะมีเหตุปัจจัยเป็นพิเศษเช่นนี้ ตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่า ถึงแม้จะเป็นต่นหญ้าที่ไม่มีอารมณ์ ก็ไม่ควรไปทำลายนะ
นิทาน ๓ : ที่เมืองหันโจว มีหญิงนางหนึ่ง นางมีนิสัยโหดร้ายทุกครั้งที่เห็นมดเดินข้างเตาไฟ ก็จะเอาไฟไปเผา ไม่รู้เผามดไปมากมายจำนวนเท่าใด และมักชอบเอาขี้เถ้าไปยัดรูของไส้เดือน นางเพิ่งคลอดลูกชายคนหนึ่งยังกินนมอยู่ มีวันหนึ่งนางมีธุระออกไปข้างนอกพอกลับมาถึงบ้าน เห็นบนเตียงมีกระจุกสีดำใหญ่ นางตกใจมากพอมองดูอีกที่ ที่แท้ก็เป็นลูกชายของนาง ลูกชายถูกฝูงมดกัดตายแล้ว นางเสียใจมาก ไม่นานก็ตายตามกันไป
นิทาน ๔ : ที่เมืองไท่อั่งโจว มีคนหนึ่งชื่อ อู๋อี่ คืนหนึ่งเขาก็ฝันเห็นชายฉกรรจ์ 2 คน ใส่เสื้อสีเขียวมาขอร้องเขาให้ช่วยเหลือ พออู๋อี่ตื่นขึ้นก็พูดว่า “ต้องมีอะไรถูกฆ่าแน่ !” ฟ้าสางแล้ว เขาก็ออกไปเดินรอบๆ เห็นมีคนหลายคนถือขวานและเลื่อย เตรียมจะโค่นต้นเทิงเงิน 2 ต้นที่พึ่งซื้อมา อู๋อี่จึงเข้าใจรู้ทันทีถึงความฝันเมื่อคืน จึงรียเอาเงินออกมาซื้อต้นไม้เทิงเงิน 2 ต้น ต้นเทิงเงินจึงรอดพ้นจากการถูกโค่นไป