คัมภีร์ : ให้รักญาติมิตร
อธิบาย : เมื่อเป็นพี่ชายเขาก็ต้องรักน้อง หากเป็นน้องชายเขาก็ต้องรักพี่ พี่น้องเปรียบเหมือนแขนขา จึงเหมือนคนๆ เดียวกัน ในสายตาของพ่อแม่ พี่น้องก็เป็นคนเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในระหว่างพี่น้องมีเรื่องทำให้ไม่รักใคร่กัน ใจของพ่อแม่ก็จะอยู่ไม่เป็นสุข ถ้าพ่อแม่เห็นพี่น้องรักใคร่กลมเกลียวกันเหมือนแขนขา ใจจะมีความรู้สึกสบายปานไหน ! ดังนั้นจึงมักยกย่องให้พี่น้องเป็นแขนขา ในพี่น้องถ้ามีความเจ็บไข้หรือลำบากเพราะเกี่ยวพันกัน ควรที่จะช่วยเหลือดูแลกันจึงไม่มีเหตุผลใดที่แขนขาจะมาชกต่อยแย่งชิงกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องคิดอยู่เสมอว่า พี่น้องคลานตามกันมา จึงเหมือนเป็นร่างเดียวกันเหมือนเนื้อติดกับกระดูกที่แยกกันได้ยาก หากเข้าใจเหตุผลเวลามีเรื่องเข้าใจผิดจนทะเลาะกัน ก็จะต้องอดทน มีขันติธรรมหยุดทะเลาะกันกับเงินทองก็จะเห็นเป็นไม่สำคัญ อาจารย์เซ็นฝาเจียง ได้เขียนกลอนไว้บทหนึ่งว่า “ร่วมต้นแตกกิ่งต่างเจริญ วาจาอย่าล่วงเกินทำร้ายน้ำใจพบครั้งหนึ่งก็แก่ลงทุกครั้งไป มีโอกาสใดจะได้เป็นพี่น้องกัน พี่น้องร่วมชายคาอดทนไว้ อย่าเพราะไร้สาระทะเลาะกัน ลูกที่เกิดมาก็พี่น้องกัน สมานฉันท์เป็นตัวอย่างลูกหลานดู”
โอวาท สี่ของเหลี่ยวฝาน ว่า “พ่อรักลูก พี่รักน้อง เป็นส่วนของพ่อพี่ อย่าไปตำหนิลูก และน้องว่าต้องคล้อยตาม ถ้าอย่างนั้น ผู้เป็นลูกหรือเป็นน้อง ที่จริงควรรักพ่อและพี่ของตน ก็ไม่ควรไปตำหนิพ่อหรือพี่ที่ไม่เมตตารักตน เพียงแต่ละฝ่ายต้องทำส่วนของตนให้ดีที่สุด ถ้าอย่างนั้นนิสัยที่ชอบกล่าวหาเขาก็จะไม่มีเอง แต่ต้องเคร่งครัดต่อคนในบ้านหรือบ่าวในบ้าน ที่ถ่ายทอดคำพูด เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดคำพูดของลูกเมียมักจะมีใจเห็นด้วย ถึงแม้จะฟังก็เหมือนไม่ฟัง เช่นนี้แล้วคำพูดที่เห็นด้วยระหว่างพ่อลูกพี่น้องก็จะไม่มี ถึงแม้จะมี ก็ไม่ทำให้เป็นเรื่องได้ !”
ท่านหวังหยางหมิงเคยพูดว่า “กษัตริย์ซุ่นสมัยโบราณ ที่สามารถอบรมเรียกช้างมาช่วยไถนา เคล็ดลับก็คือ ไม่มองจุดด้อยของช้างเพราะฉะนั้นระหว่างสายเลือด ควรพูดโดยมีน้ำใจเยื่อใย ไม่ควรใช้เหตุผลมาพูด ถ้าไปยึดเหตุผลก็จะทำร้ายน้ำใจ ถ้าเน้นการทำร้ายน้ำใจก็หาใช่เหตุผลไม่ !
ท่านเฉินจื่อในสมัยซ่ง มีคนถามเขาว่า “ฉันมีเรื่องเรียนพี่ชายฉันก็ได้ใช้เหตุผลของน้องจนถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับความยินดีจากพี่ชาย อย่างนี้ฉันควรทำอย่างไรดี” เฉินจื่อตอบเขาว่า “เจ้ามีเรื่องเรียนพี่ชาย ควรมีใจเคารพนับถือ โดยเฉพาะต้องมีความจริงใจถึงจะใช้ได้ไม่ใช่มีใจที่จะกดข่ม แล้วไประบายทุกข์กับคนอื่น” คนนั้นก็ถามต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้นพี่ชายควรปฏิบัติต่อน้องอย่างไรบ้าง” เฉินจื่อตอบว่า “ผู้เป็นพี่ชาย ควรรักใคร่ต่อน้องชาย จึงจะเป็นหลักธรรมของพี่ชาย”
นิทาน ๑ : ในสมัยฮั่น มีคนชื่อเถียนจิน มีพี่น้อง 3 คน พ่อแม่ก็ตายจากกันแล้ว พี่น้อง 3 คนก็ปรึกษากัน แบ่งมรดกเป็น 3 ส่วนเท่าๆ กันแต่ละคนได้หนึ่งส่วน แม้แต่ต้นไม้จื่อที่อยู่หน้าบ้านก็จะผ่าเป็น 3 ส่วน พูดแล้วก็แปลกภายหลังที่พี่น้องตกลงกันแล้ว ต้นไม้ต้นนี้ก็เหี่ยวเฉาลง เถียนจินเห็นเข้ารู้สึกตกใจกลัว จึงพูดกับน้องทั้งสองว่า “แม้แต่ต้นไม้พอได้ยินว่าตนจะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน เพราะฉะนั้นมันก็ตรอมใจเหี่ยวเฉา หรือว่าเรา 3 คนยังสู้ต้นไม้ไม่ได้” เถียนจินพูดแล้วพูดอีกอดไม่ได้จนร้องไห้ขึ้นมา ด้วยเหตุนี้พี่น้อง 3 คน จึงตกลงใจไม่แบ่งต้นไม้จื่อแล้ว พูดแล้วก็แปลก ต้นไม้นี้พอได้ยินว่าพี่น้องเถียนจินจะไม่แยกมันแล้ว ก็ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว ด้วยเหตุนี้พี่น้องทั้งสามคนจึงเข้าใจไม่คิดแบ่งมรดก พี่น้องอยู่รวมกันอย่างมีความสุข คนละแวกบ้านยกย่องว่า “พี่น้องเถียนจินเป็นบ้านกตัญญู” ควรรู้ว่าพี่น้องเป็นหนึ่งในสัมพันธ์สวรรค์ นับพ่อลูกกับสามีภรรยา จัดไว้เป็นวินัยสาม เพราะฉะนั้นคนโบราษจึงยกพี่น้องเหมือนแขนขา หมายความว่าแขนขานั้นอยู่แยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันก็แยกสลาย แยกสลายก็จะโดดเดี่ยวอับเฉา อับเฉาแล้วก็ใกล้จะดับสิ้นลง
นิทาน ๒ : ซือหม่ากวง เป็นมหาอำมาตย์สมัยซ่ง มีพี่ชายชื่อซือหม่าคังอายุแปดสิบแล้ว ซือหม่ากวงปฏิบัติต่อพี่ชายเหมือนปฏิบัติต่อบิดา และก็จะดูแลพี่ชายเหมือนเด็กทารก ทุกครั้งที่รับประทานอาหาร พอทานไปได้สักครู่ ซือหม่ากวงก็จะถามว่า “พี่ชาย ! พี่ต้องทานให้อิ่มนะไม่งั้นเดี๋ยวก็จะหิวนะ !” ถ้าอากาศเริ่มเย็น เขาก็จะลูบหลังพี่ชายพูดว่า “พี่ชาย ใส่เสื้อผ้าหนาพอไหม ! ระวังหน่อยนะอากาศหนาวแล้วนะ !”
นิทาน ๓ : โจวเหวินซ้ง มีนิสัยรักญาติมิตร พี่ชายเขาชอบดื่มสุราและก็อาศัยอยู่กับโจวเหวินซ้งด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่ง พี่ชายดื่มสุราจนมึนเมา แล้วก็จะไปทุบตีโจวเหวินซ้ง บ้านข้างเคียงได้ยิน พวกเขารู้สึกไม่พอใจถึงความไม่ชอบธรรมของพี่ชาย จึงด่าว่าพี่ชายโจวเหวินซ้งว่า “น้องของคุณดีกับคุณเช่นนี้ คุณกินของเขา ดื่มของเขา อยู่ของเขาพอดื่มสุราเมาแล้วยังจะตีเขาอีก คนนี่เป็นพี่ชายอะไร มีสำนึกจิตอันดีงามหรือไม่ !” แต่ทว่าโจวเหวินซ้งกลับไม่พอใจคนข้างบ้าน รู้สึกโกรธมากจึงพูดกับคนข้างบ้านว่า “พี่ชายไม่ได้ตีฉันเลย ! ทำไมพวกท่านจึงต้องมากีดกันความรักระหว่างพี่น้องของเราด้วยละ”
นิทาน ๔ : ในสมัยซ่ง มีพี่น้อง 2 คน เจิ้นเต๋อกุ่ย กับ เจิ้นเต๋อจางทั้งสองรักใคร่กันมาก ทั้งสองเรียนหนังสือด้วยกัน กลางคืนก็นอนด้วยกัน เต๋อจางมีนิสัยตรงแข็ง เป็นคนไม่ค่อยประนีประนอม มักทำให้คนอื่นแค้น พวกแค้นก็วางแผนทำลายเต๋อเจียง ดังนั้นจึงถูกทางอำเภอตัดสินลงโทษประหาร ทางอำเภอก็จะส่งเจ้าหน้าที่มาจับตัวที่บ้านเต๋อจาง เต๋อกุ่ยรู้ว่าน้องชายถูกใส่ร้าย จึงรู้สึกทุกข์เวทนา จึงแกล้วพูดกับน้องชายว่า “ที่จริงพวกเขาต้องการใส่ร้ายกัน ไม่เกี่ยวอะไรกับน้อ ฉันจะไปที่อำเภอไปรับโทษเอง พูดแล้วก็ไปที่อำเภอ เต๋อจางรีบตามไป พี่น้องพบกันระหว่างทางกอดกันร้องไห้ ต่างแย่งกันไปรับโทษประหาร เต๋อกุ่ยก็เตรียมแผนถ่วงน้องชายไว้ หลบไปที่อำเภอตอนค่ำมืด วันรุ่งขึ้น ไม่เห็นพี่ชายจึงตามไป ไปถึงที่ประหาร เต๋อกุ่ยตายอยู่ในคุกแล้ว เต๋อจางเห็นศีรษะพี่ชาย เสียใจร้องไห้จนเป็นลมไปถึง 4 ครั้ง เต๋อจางจัดการเผาศพที่ชายแล้ว ก็เก็บกระดูกพี่ชายกลับบ้านจัดการฝัง ทั้งยังเฝ้าสุสานพี่ชายอยู่หลายปี แต่ละครั้งที่เต๋อจางร้องไห้ นกอีกาและนกอื่นๆ พากันบินมาที่ข้าง ๆ ตัวเต๋อจางมาฟัง
เต๋อจางร้องไห้ และก็ไม่กินอะไร ลูกของเต๋อกุ่ยยังเล็กมากเต๋อจางเลี้ยงลูกของพี่ชายเหมือนลูกของตน
นิทาน ๕ : ในสมัยเหว่ยจิ้ง ที่เมืองไป่ยฉี ที่เมืองไป่ยฉี มีคนชื่อ พู่หมิง ระหว่างพี่น้อง เพียงแย่งมรดกจึงมีคดีความมาหลายปี ต่างฝ่ายก็มีพยานในที่สุดคดีก็มาถึงศาลเมืองซิงเหอ ผู้ว่าราชการซูค่วน ผู้ว่าซูเรียกพู่หมิ งสองคนพี่น้องขึ้นศาล แล้วก็ตักเตือนพวกเขาว่า “ในโลกนี้ที่หาได้ยากก็คือความเป็นพี่น้อง ที่หาได้ง่ายก็ที่ดินไร่นา ถ้าหากได้ที่ดินไร่นามาแล้วสูญเสียพี่น้อง พวกเธอใจจะรู้สึกอย่างไร” ผู้ว่าพูดแล้วพูดอีก พูดจนน้ำตาไหล คนที่มาฟังที่จะเป็นพยานก็ถูกความจริงใจของผู้ว่าประทับใจจนน้ำตาร่วง พี่น้องพู่หมิง 2 คน ก้มลงกราบยอมรับผิดจากนี้ไปทั้งสองจะผ่อนปรนเคารพกัน ไม่แย่งชิงมรดกกันอีกแล้ว
นิทาน ๖ : คุณอูเถี่ยเจียว กล่าวว่า “ที่เหวยอิน มีข้าราชการคนหนึ่งเขามีลูกชายสองคน ทั้งสองคนไม่ค่อยลงรอยกันตั้งแต่เล็กแล้ว แต่ละปีพบหน้ากันน้อยมาก ต่อมาพี่ชายป่วยหนักจึงเรียกคนไปตามน้องชายมาที่ข้างเตียง เขาจับมือน้องชายแล้วพูดว่า “ฉันแต่งงานอายุ 19 ปี ตอนเป็นหนุ่มก็ไม่ได้รับความรักจากลูกเมีย พออายุ 38 พ่อแม่ก็จากไป เพราะฉะนั้นในบั้นปลายก็ไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ ตลอดชีวิตอยู่ด้วยนานที่สุดคือเราพี่น้อง 2 คน แต่เรา 2 คนก็เข้ากันไม่ค่อยได้ วันนี้จะเริ่มรู้สึกสำนึกผิดและเข้าใจ อย่างไรก็ตาม ชีวิตนี้ของฉันก็ใกล้จบลงแล้ว” เมื่อได้ฟังวาทะของพี่ชายที่ใกล้จะตาย พี่พูดกับน้องชายของเขาแล้ว คนที่ได้ฟังก็ควรมีความรู้สึกประทับใจบ้าง”
นิทาน ๗ : จางสือซ่วน ในสมัยอู่ไต้ พ่อแม่เขาตายไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก พอเขาโตขึ้นที่เป็นผู้ใหญ่ก็มีเพียงคุณอาของเขาคนเดียว คุณอาเขามีลูกชาย 7 คน มีอยู่วันหนึ่งคุณอาก็พูดกับจางสือซ่วนว่า “เธอก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันควรแบ่งสมบัติให้เธอ สมบัติแบ่งเป็น 2 ส่วน ฉันหนึ่งส่วนเธอก็หนึ่งส่วน เธอรู้สึกว่าเป็นธรรมไหม” จางสือซ่วนกล่าวว่า “ท่านอา ฉันยอมไม่ได้ ท่านมีลูก 7 คน ๆ ได้รับเพียงหนึ่งส่วน ผมคนเดียวได้รับหนึ่งส่วน ท่านอาขอให้ท่านแบ่งสมบัติเป็น 8 ส่วนเถอะ” ผู้เป็นอาก็ไม่ยินยอมแบ่งตามนั้น จางสือซ่วนก็ไม่ยอมรับสมบัติ พอดีปีนั้นจางสือซ่วนอายุ 17 ปี ก็ต้องเข้าไปสอบที่เมืองหลวง ขณะนั้นคนที่ถูกคัดเลือกให้เข้าสอบมีประมาณ 20 คน ตอนนั้นก็มีโหราจารย์ที่สามารถชี้ไปที่จางสือซ่วนแล้วพูดว่า “ตำแหน่งจอหงวนปีนี้เป็นของเขาแน่” พวกเข้าสอบต่างพากันหัวเราะ ทั้งยังหันมาถามถึงวิธีดูของโหราจารย์ว่าอย่างไร โหราจารย์ตอบว่า “การทำข้อสอบข้าไม่สามารถรู้ได้ แต่เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ หน้าเขาเต็มไปด้วยบุญกุศลลับมาก เขาต้องทำเรื่องดีไว้มากแน่ๆ ข้าจึงกล้าพยากรณ์ว่าปีนี้ตำแหน่งจอหงวนต้องเป็นของเขาแน่ๆ !” ในที่สุดจางสือซ่วนก็สอบได้ตำแหน่งจอหงวน
อธิบายเพิ่ม : ปัจจุบันการแย่งชิงมรดกจนไม่นึกถึงความสัมพันธ์ของแขนขามีมากมายนัก ! พี่น้องคลานตามกันมายังเป็นแบบนี้นับประสาอะไรกับน้องต่างแม่ยิ่งรุนแรงขึ้น ถ้าพี่น้องร่วมท้องยังแย่งมรดกกัน พี่น้องที่ห่างกันออกไปยิ่งมิร้ายแรงยิ่งขึ้นหรอกหรือ จะมีใครเหมือนจางสือซ่วนบ้างไหม คนโบราณว่า “เย็นชากับพี่น้องก็เหมือนเย็นชากับพ่อแม่ เย็นชากับลูกพี่ลูกน้องก็เหมือนเย็นชากับบรรพชนนะ !” ถ้าหากต้นไม้มีการสูญ เสียของลำต้นและรากแล้ว กิ่งใบก็สูญเสียไปด้วย นี่คือหลักธรรมของการลืมต้นสายธาร พวกเราควรตรึกตรองให้มาก !
สรุป : ใครก็ตามถ้าเคารพนับถือ หรือข่มเหงรังแกพี่น้องตนเองเมื่อเทียบกับการเคารพนับถือหรือาข่มเหงรังแกคนแล้ว จะมีบุญหรือเคราะห์ตอบสนองเพิ่มมากถึงสิบเท่าเชียวนะ ! ถ้าหากเคารพนับถือพ่อแม่ตนเอง หรือขัดขื่นข่มเหงพ่อแม่ตนเอง สิ่งที่ได้รับผลตอบสนองจะเพิ่มเป็นร้อยเท่า หลักธรรมเช่นนี้พวกเราต้องจดจำให้ดี ค่อยตักเตือนระมัดระวังตนเอง !