นวโกวาท
(ฉบับประชาชน) (ย่อ)
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส
คำชี้แจง
หนังสือ นวโกวาท (ฉบับประชาชน) ข้าพเจ้าได้รับเมื่อออกบวช ได้อ่านแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิต ข้าพเจ้าจึงได้คัดเฉพาะส่วนที่ฆารวาสสามารถนำไปใช้ได้เพื่อเป็นแนวทางได้จริงในการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน จึงมีความตั้งใจจะพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ ให้กันผู้ที่ไม่มีโอกาสได้บวชได้รับทราบถึงพระธรรม คือธรรมชาติของชีวิตที่ทุกคนมีอยู่แล้วในตัวเองแต่ไม่เคยมองเห็นจึงไม่สามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้อง อันเป็นกุศลผลบุญใหญ่ยิ่งแก่ตัวข้าพเจ้าเองทดแทนการออกบวช
พันเลิศ ธัญญสิริ
วันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2548
คำนำ
(พิมพ์ครั้งที่ ๑๒/๒๔๕๓)
เมื่อหนังสือนี้ฉบับที่ ๑๑ หมดแล้ว จะได้พิมพ์ฉบับที่ ๑๒ ได้เพิ่มหมวดธรรมที่สมควรจะรู้เข้าอีกหลายหมวด เพราะเห็นว่าหนังสือนี้ได้ใช้แพร่หลาย ไม่เฉพาะแต่ภิกษุใหม่ ควรจะให้ความรู้กว้างขวางออกไป หมวดธรรมที่เพิ่มคราวนี้ ทุกะหมวด ๒ และหมวดธรรมอันสงเคราะห์เข้าในโพธิปักขิยธรรมเป็นพื้น เมื่อเพิ่มขึ้นดังนี้ ข้อศึกษาของภิกษุใหม่ก็มากขึ้น ภิกษุผู้มีสติปัญญาพอประมาณหรือค่อนข้างทราม จะเรียนไม่จบก็อาจเป็นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ อุปัชฌายะอาจารย์ผู้ฝึกหัด จะงดธรรมบางหมวดที่ไม่ใช้สำหรับภิกษุใหม่ หรือที่มีซ้ำกับหมวดธรรมอื่นบ้างแล้ว ไม่ใช้สอนก็ควร นอกจากนี้ คราวนี้ยังได้แก้สำนวนในหนังสือนี้ด้วย
กรมหลวงวชิรญาณวโรรส
วัดบวรนิเวศวิหาร
วันที่ ๙ สิงหาคม ร.ศ. ๑๒๙
คำนำ
(พิมพ์ครั้งที่ ๙/๒๔๔๗)
แต่เดิมในหนังสือนี้ ไม่ค่อยใช้ศัพท์บาลี แต่งขึ้นสำหรับเหมาะแก่เรียนในยุคนี้ ใช้บ่างแต่ในที่จะย่นความกำหนดหรือความจำเข้าได้ดีกว่าใช้คำไทย ภายหลังหนังสือนี้แพร่หลายไปในหมู่ญาติโยมของผู้บวชใหม่ ผู้ที่ได้สดับมากต่างก็พอใจในความคิดแต่หนังสือนี้ แต่เห็นกันโดยมากว่า ถ้าใช้ศัพท์บาลีเข้าด้วยจะดีขึ้นอีกมาก เหตุว่า คนชั้นผู้ใหญ่เคยศึกษาในศัพท์บาลี เมื่อไม่พบศัพท์บาลีก็ชักให้งง มักต้องนึกเทียบศัพท์บาลีก่อนจึงจะเข้าใจได้ตลอดดีว่า ธรรมหมวดนั้นๆ เล็งเอาพระบาลีหมวดนั้นๆ ถึงการกำหนดหรือการจำเล่า ท่านก็เห็นว่าศัพท์บาลีง่ายกว่ายกขึ้นพูดก็สะดวกกว่า หวังจะให้หนังสือนี้เป็นไปตามประสงค์ของคนชั้นผู้ใหญ่ด้วย จึงจะได้เติมศัพท์บาลีเข้าด้วยในหมวดธรรมที่มีคำบาลีสำหรับใช้เฉพาะศัพท์ เว้นแต่หมวดธรรมที่จะต้องใช้คำผสมเป็นประโยค เช่นในอภิณหปัจจเวกขณะข้อต้นว่า ชราธมโมมหิ ชรํ อนตีโต ซึ่งแปลว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ในหมวดธรรมเช่นนี้ ยังคงใช้คำไทยล้วนตามเดิม จะใช้ประโยคบาลีเข้าด้วย ก็จะกลายเป็นหนังสือสวดมนต์แปลไป ผิดกับความประสงค์เดิม จะพาให้ผู้บวชใหม่ท้อถอยในการศึกษาพระธรรมวินัยถึงศัพท์บาลีที่ใช้นั้น ก็เรียงไว้ต่างวิธีกัน เรียงไว้ข้างต้นก็มี ข้างท้ายก็มี ที่เรียงไว้ข้างต้นนั้น ผู้เริ่มศึกษาไม่ถนัดกำหนดหรือจำศัพท์บาลี จะงดเสีย กำหนดหรือจำแต่ความไทยก็ได้ ถ้ากำหนดหรือจำได้ด้วย ก็เป็นอันได้ความรู้กว้างขวางออกไป จะอ่านหนังสือธรรมหรือฟังเทศนา ก็จะกำหนดได้ง่ายขึ้น ที่เรียงไว้ข้างท้ายนั้น เป็นศัพท์พิเศษใช้เฉพาะข้อความนั้น สมควรที่จะรู้ไว้ ถึงท่านผู้เป็นอุปฌายะหรืออาจารย์ผู้จะฝึกภิกษุสามเณรในสำนักของตน ก็ควรรู้จักผ่อนปรนฝึกฝนตามสมควรแก่อุปนิสัยของเธอทั้งหลาย ถือเอาความรู้ความเข้าใจพระธรรมวินัยเป็นประมาณ เมื่อเป็นคราวที่ควรจะแก่ไขหนังสือฉบับนี้ใหม่ จึงได้เพิ่มหมวดธรรมที่สมควรอันยังไม่มีในนี้เข้าอีกบ้าง ทั้งเรียบเรียงใหม่ในพวกหนึ่งๆ ให้ลุ่มลึกไปโดยลำดับ จับแต่ง่ายไปหายาก เพื่อให้ง่ายแก่ผู้ยังจะต้องใช้ความจำเบื้องหน้า ฉบับใหม่นี้ได้แก้ไขเพิ่มเติมเพียงเท่านี้
กรมหลวงวชิรญาณวโรรส
วัดบวรนิเวศวิหาร
วันที่ ๓๐ มิถุนายน ร.ศ. ๑๒๓
คำนำ
(พิมพ์ครั้งที่ ๕/๒๔๔๒)
หนังสือเล่มนี้เรียงย่อโดยประมาณดังนี้ สำหรับภิกษุสามเณรบวชใหม่, เพราะผู้บวชใหม่ย่อมบวชเพียงพรรษาเดียว คือสี่เดือนเป็นพื้น อุปัชฌาอาจารย์ผู้หวังความรู้แก่สัทธิวิหารกและอันเตวาสิกต้องหาอุบายสั่งสอนให้เขาได้ความรู้มากที่สุดตามแต่จะเป็นได้ ถ้าใช้แบบสอนที่พิสดาร เรียนรู้ยังไม่ถึงไหนก็ถึงเวลาสึก จะต้องใช้แบบย่อให้จุข้อความที่ควรจะศึกษา นี้เป็นเหตุผลเริ่มเรียงหนังสือเล่มนี้ขึ้น หนังสือนี้ถือเป็นแบบย่อ ถ้าเข้าใจวิธีสอน ก็ทำให้ภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่เข้าใจกว้างขวางได้เหมือนกัน ข้าพเจ้าได้ใช้ฝึกศิษย์ด้วยวิธีดังจะกล่าวต่อไปนี้
ให้ผู้ศึกษากำหนดจำหัวข้อในหนังสือเล่มนี้ให้ได้ตลอด เอาแต่ใจความ ไม่ต้องจำถึงพยัญชนะ, แต่คนอ่านแล้วถอดใจความไว้ในใจไม่ได้ ยังต้องท่องเหมือนท่องสวดมนต์ กำหนดระยะให้ ๓ เดือน (ยกเดือนต้นไว้สำหรับบุรพกิจอย่างอื่น) เดือนที่ ๒ วินัยบัญญัติ เดือนที่ ๓ ธรรมวิภาค เดือนท้ายเมื่อจวนสึก คิหิปฏิบัติ ผู้ประกอบด้วยสติปัญญา อุตสาหะกล้าก็ได้เร็วกว่ากำหนด ปานกลางก็พอทันกำหนด ทรามก็ไม่ทันกำหนด ในระหว่างที่ศึกษาอยู่นั้น ในขั้นต้น เมื่อถึงกถาอะไร ได้สอบถามให้เล่าหัวข้อเหล่านั้นให้ฟังจนเห็นว่าขึ้นใจแล้ว ส่วนวินัยได้ผูกเป็นปัญหาให้ตัดสิน ปัญหานั้นให้ตัดสินได้ด้วยเทียบตามแบบ เช่น " ภิกษุพยาบาลไข้ วางยาผิดคนไข้ตาย จะต้องปาราชิกหรือไม่? " ผู้ตอบต้องใคร่ครวญดูเจตนาของผู้วางยาว่า เหมือนกับเจตนาของผู้ที่กล่าวไว้ในแบบหรือไม่? เท่านี้ก็ตัดสินได้ ถึงธรรมวิภาคและคิหิปฏิบัติก็มีปัญหาถามเหมือนกัน เช่น "อย่างไร ความคบสัตบุรุษ เป็นต้น จึงจะเป็นเครื่องเจริญของมนุษย์? " ในที่นี้ผู้ตอบต้องอธิบายตามความเห็นของตนให้สมแก่รู้ปัญหา อีกข้างหนึ่ง " ทรัพย์ที่จับจ่ายด้วยประการไร จึงได้ชื่อว่าเป็นประโยชน์? " ในที่นี้ต้องเอากระทู้ความในหมวดที่ว่าด้วยประโยชน์เกิดแต่การถือเอาโภคทรัพย์ มาอธิบายแก้ให้สมรูปปัญหา เมื่อถึงกำหนด ได้มีการสอนความรู้ใน ๓ อย่างนั้น เพื่อเป็นอุบายให้เอาใจใส่ดีขึ้น
ยังมีวิธีที่ช่วยทำให้ผ็บวชใหม่ ได้ความรู้กว้างขวางออกไปกว่านี้อีก ส่วนวินัย ถามปัญหาให้เทียบตามแบบไม่ได้ เช่น " ภิกษุตีเด็ก ต้องอาบัติอะไร ? " ในแบบมีแต่ว่าตีภิกษุต้องปาจิตตีย์ เช่นนี้ทำให้ค้นคว้าในสิกขาเล่มใหญ่[1] พอพบแล้วก็จำได้ทันที ส่วนธรรมวิภาคนั้นได้แจกกระทู้พุทธภาษิต[2] เช่น " คนล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร, ได้ชื่อเสียงเพราะความสัตย์ " วันละข้อ แจกให้อย่างเดียวกันหมด ให้ไปแต่งแก้แล้วนำมาอ่านในที่ประชุมในกำหนด ผู้แต่งต้งตริตรองด้วยน้ำใจให้เห็นเองก่อนว่า " ความเพียรเป็นเหตุ, ความล่วงทุกข์เป็นผล ความสัตย์เป็นเหตุ, ชื่อเสียงเป็นผล " จึงจะเรียงแต่งมาอ่านได้ในเวลาที่อ่าน ต่างก็ต่างมุ่งฟังของกันและกัน เมื่อใครอธิบายดีก็จำไว้ และที่สุดได้รับวินิจฉัยว่าถูกหรือผิด ข้อนี้เป็นเหตุผลให้ค้นคว้าข้อความในหนังสือธรรมมาอธิบาย ได้ความร็กว้างขวางและตริตรองให้เห็นความดี เห็นความชั่วด้วยน้ำใจเอง
หนังสือเล่มนี้ แต่งขึ้นสำหรับสอนภิกษุสามเณรบวชใหม่ให้พอควรแก่เวลาจะศึกษาได้ จึงตั้งชื่อว่า นวโกวาท และมีข้อความแต่งโดยย่อเพียงเท่านี้
กรมหลวงวชิรญาณวโรรส
วัดบวรนิเวศวิหาร
วันที่ ๒๑ พฤษภาคม ร.ศ. ๑๑๘
[1] มหาขันธ์, บุพพาสิกขาวรรณนา, วินัยมุข
[2] วิธีสอนแบบนี้ ภายหลังได้ทรงรวบรวมขึ้นเป็นหนังสือพุทธศาสนสุภาษิต