หน้า 113
ตอนที่ 4
ประเกือมสุรินทร์
หนังสือ :สุรินทร์ มรดกโลกทางวัฒนธรรมในประเทศไทย
แต่งโดย: อาจารย์ศิริ ผาสุก,อาจารย์อัจฉรา ภาณุรัตน์,อาจารย์เครือจิต ศรีบุญนาค
ผู้จัดพิมพ์ :ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดสุรินทร์ ชมรมหัตถกรรมพื้นบ้านไทย พศ.2536
นอกจากศิลปวัฒนธรรมที่แสดงให้เห็นได้จากโบราณวัตถุ ศิลปะการทอผ้าไหมตามที่กล่าวแล้ว การทำเครื่องประดับเงินของชาวสุรินทร์ นับว่าเป็นสิ่งที่แปลกต่างจากที่อื่นมากทีเดียว เครื่องประดับเงินของชาวสุรินทร์ นับว่าเป็นสิ่งที่แปลกต่างจากที่อื่นมากทีเดียว เครื่องประดับเงินของชาวสุรินทร์มีทั้งที่เป็นสร้อยคอ สร้อยข้อมือ แหวน เข็มขัด ต่างหู แต่ที่ไม่เหมือนใครเลยในประเทศไทย และดูเหมือนจะมีแห่งเดียวในโลกก็คือการทำประเกือม( Silver bead )
การทำลูกประเกือมจากโลหะเงินเป็นศิลปะการทำเครื่องประดับเงินที่มีแห่งเดียวในประเทศไทย และทำสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งครั้งแรกมีเฉพาะที่บ้านโชค ตำบลเขวาสินรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ แต่ปัจจุบัน แทบทุกหมู่บ้านในตำบลเขวาสินรินทร์มีการทำประเกือม
จากบันทึกของจูต้ากวน พ่อค้าจีนที่เคยเดินทางมายังดินแดนแถบนี้ เมื่อปี พ.ศ. 1058 นอกจากกล่าวไว้ดังที่บันทึกในตอนต้นแล้ว อีกตอนหนึ่งกล่าวว่า “ดินแดนแถบนี้มีความเจริญรุ่งเรืองมากแล้ว เพราะชาวบ้านและชาวเมืองของอาณาจักรฟูนาน ต่างก็มีเสื้อผ้านุ่งห่มและเครื่องประดับใช้กันแล้ว พวกชนชั้นสูงของฟูนาน มีเครื่องนุ่งห่มที่ทอด้วยไหมเงิน ไหมทอง พวกผู้หญิงใช้ผ้าคลุมชนิดหนึ่ง รูปทรงคล้ายหมวกแขก ผู้คนส่วนใหญ่มีเครื่องนุ่งห่ม ลูกผู้ดีมีตระกูลจะสวมโสร่งและนิยมใส่เครื่องประดับที่เป็นสร้อยเงิน ทองคำและแหวน และเครื่องใช้ที่ทำด้วยเงิน”
ลูกประเกือม
หลักฐานที่ค่อนข้างจะเชื่อได้ว่า เมืองสุรินทร์เจริญมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรฟูนาน ก็คือ ลักษณะของประเกือม ที่คล้ายคลึงกับเม็ดประคำเงินของประเทศเนปาล ซึ่งถือว่าเป็นต้นกำเนิดอารยธรรมสมัยนั้น เนื่องจากบันทึกของชาวจีนว่า ในสมัยฟูนานนั้น มีการนำเครื่องประดับเงินจากอินเดียผ่านฟูนานไปยังประเทศจีน ดังนั้น จึงเป็นไปได้หรือไม่ว่า ประเกือมจะเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่มีการนำเข้าจากอินเดียในสมัยนั้น มายังฟูนาน โดยส่วนหนึ่งใช้เป็นเครื่องประดับในอาณาจักรฟูนานเอง และอีกส่วนหนึ่งก็ส่งไปยังจีน
หน้า 114
ความแตกต่างของลูกประคำเนปาล กับประเกือมสุรินทร์ อยู่ที่การอัดครั่งข้างใน เพราะของเนปาลนั้นไม่มีการอัดครั่ง อีกด้านหนึ่งได้แก่ลวดลาย เพราะของเนปาลนั้นไม่มีลวดลายมากนัก แต่ของสุรินทร์จะมีลวดลายมากกว่า จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า ในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่โลหะเงิน หรือทองเกิดขาดแคลน แต่ความต้องการเครื่องประดับชนิดนี้ยังมีมาก ดังนั้นจึงมีการพัฒนารูปแบบจากเดิมซึ่งไม่อัดครั่ง มาเป็นใช้เงินปริมาณน้อยลงโดยการตีรูปทรงอย่างบางแล้วอัดครั่งข้างใน ซึ่งได้ผลที่สำคัญ 2 ประการคือ
ประการแรก ใช้โลหะเงินน้อยลงแต่ได้ปริมาณเครื่องประดับที่ต้องการเท่าเดิม
ประการที่สอง การอัดครั่งข้างในโดยใช้โลหะเงินบางๆ นั้นสามารถแกะลายได้ง่ายกว่า และสวยงามกว่าเดิม ที่สำคัญยิ่งอีกประการหนึ่งคือ เนื้อเงินนั้นต้องบริสุทธิ์แท้มิเช่นนั้นจะไม่สามารถตีรูปทรงได้ นับว่าเป็นพัฒนาการอีกก้าวหนึ่งของการทำเครื่องประดับเงิน จากรูปแบบเดิมของเนปาล มาเป็นเอกลักษณ์ของสุรินทร์โดยเฉพาะ เช่นเดียวกับการเกิดขึ้นของสถาปัตยกรรมของนครวัต-นครธม ซึ่งรูปแบบนั้นก็มาจากอินเดีย แต่ความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรขอมโบราณในระยะหลัง จึงได้ก่อให้เกิดสถาปัตยกรรมอันล้ำค่าชิ้นใหม่เกิดขึ้นมาในโลก
ประเกือมสุรินทร์ก็เช่นเดียวกัน ผู้เขียนไม่เจาะจงว่า หัตถกรรมพื้นบ้านชิ้นนี้ได้พัฒนามาตั้งแต่สมัยของอาณาจักรฟูนาน หรือสมัยเมืองพระนคร แต่ในช่วงหนึ่งของประวัติศาสตร์ขอมนั้น จะต้องมีช่วงหนึ่งที่การพัฒนารูปแบบจากเดิมมาเป็นประเกือมสุรินทร์ที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ มันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนโบราณชิ้นหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ในท้องที่จังหวัดสุรินทร์ ขณะที่ดินแดนประเทศเขมรถูกทำลายไปหมดแล้ว จะด้วยสงครามหรืออย่างอื่นใดก็ตาม แต่ในปัจจุบันนี้มรดกทางวัฒนธรรมของคนโบราณประเภทนี้มีอยู่แห่งเดียวเท่านั้นในโลก ซึ่งเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะอนุรักษ์มรดกโลกชิ้นนี้เอาไว้
เส้นทางสู่หมู่บ้านเครื่องเงิน
บ้านโชค ต.เขวาสินรินทร์ อ.เมือง จ.สุรินทร์ เป็นหมู่บ้านแรกที่ทำลูกประเกือม แต่ต่อมาความต้องการของตลาดเพิ่มขึ้น การผลิตก็ขยายตัวเกือบทั่วทั้งตำบลเขวาสินรินทร์
ถ้าหากเราเดินทางจากเขตเทศบาลเมืองสุรินทร์ข้ามทางรถไฟไปตามถนนสายสุรินทร์-ร้อยเอ็ด ถึงหลัก กม.14 ก็มีทางลาดยางเลี้ยวขวา จะมีป้ายบอกบ้านเขวาสินรินทร์ “หมู่บ้านทอผ้าไหม” อีกป้ายหนึ่ง “หมู่บ้านหัตถกรรมเครื่องเงิน” พอเข้าไปได้ 2 กม. จะถึงบ้านสดอ ทั้งหมดนี้คือหมู่บ้านเครื่องเงิน
หน้า 115
ความหมายประเกือม
คำว่า “ประเกือม” เป็นภาษาเขมร ตรงกับภาษาไทยว่า ประคำ เป็นการใช้เรียกเม็ดเงิน เม็ดทอง ชนิดกลมที่นำมาใช้ร้อยเป็นเครื่องประดับ ถ้าเป็นหินกลม เขาเรียกว่า ลูกปัด ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษคำเดียวกันคือ beads ถ้าทำด้วยเงินเขาเรียกว่าประคำเงิน (Silver beads) ถ้าทำด้วยทองเขาเรียกว่าประคำทอง (Gold beads) ดังนั้นประเกือมจึงใช้เฉพาะเม็ดกลมที่ทำด้วยเงินหรือทองเท่านั้น
ประเกือมสุรินทร์ (Surin’s Silver beads) ก็เป็นลูกกลมที่ทำด้วยเงินเช่นเดียวกับที่ทำที่อื่น แต่สิ่งที่แตกต่างจากที่อื่นนั้นก็อยู่ตรงที่
ประการแรก มีการทำหลากหลายรูปแบบมากกว่าที่เป็นลูกกลมอย่างเดียวเหมือนที่อื่น
ประการที่สอง มีการเน้นศิลปะลวดลายต่าง ๆมากมาย ในขณะเดียวกันประเกือมสุรินทร์นั้นจะต้องมีการอัดครั่งข้างใน เพื่อให้มีโลหะเงินหุ้มแต่เพียงเปลือกนอก การมีโลหะเงินบางหุ้มเฉพาะเปลือกนอกนี้เอง ทำให้สะดวกในการแกะลาย เพราะโดยธรรมชาติของโลหะเงินนั้นอ่อนจึงแกะลายได้ง่าย แต่ถ้าหากผสมโลหะอื่น จะแข็งและแกะลายไม่ได้ ประเกือมสุรินทร์จึงสามารถคงลักษณะของความบริสุทธิ์ของเงินแท้ได้ ความจริงการทำเครื่องประดับเงิน เครื่องประดับทองในหมู่บ้านนี้ มีทำทุกแบบตั้งแต่การทำสร้อยคอธรรมดา สร้อยข้อมือ กำไล เข็มขัด แต่สิ่งที่เด่นและมีความแตกต่างจากท้องที่นั้น มีเพียงสองอย่างคือ ต่างหู ที่ชาวสุรินทร์นิยมใส่ มีลักษณะเป็นชั้น ๆ คล้ายของอินเดียมากเรียกว่า ละเวง หรือตีนตุ๊กแก ซึ่งมีลักษณะสวยงามเป็นพิเศษ และมีลักษณะเฉพาะตัวของสุรินทร์เท่านั้น และอีกประเภทหนึ่งก็คือ ประเกือมนี่เอง ในอดีตหมู่บ้านนี้มีชื่อเสียงในด้านฝีมือ 3 ประเภทด้วยกันคือ
ช่างทำเฟอร์นิเจอร์หวาย ซึ่งโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ในกรุงเทพมหานครหลายแห่งที่ทำเฟอร์นิเจอร์เพื่อส่งออก ได้จ้างช่างที่ทำหน้าที่หัวหน้าช่าง จากหมู่บ้านนี้เป็นส่วนใหญ่
หน้า 116
การทอผ้าไหมมัดหมี่ ผ้าไหมมัดหมี่โฮล อันเป็นผ้ามัดหมี่ที่มีชื่อเสียงที่สุด และเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดสุรินทร์นั้น หมู่บ้านนาตัง หมู่บ้านทนงรัตน์ หมู่บ้านสดอ ต.เขวาสินรินทร์ นั้น เป็นหมู่บ้านที่ทอผ้าไหมมัดหมี่ชนิดนี้ได้สวยที่สุด
ช่างเงินและช่างทอง แต่ก่อนหมู่บ้านนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านช่างทอง เพราะร้านทองในเมืองสุรินทร์นิยมจ้างช่างทองจากหมู่บ้านนี้ไปทำทองรูปพรรณให้
การทำประเกือม
สมัยเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว มีช่างทำเครื่องเงินของบ้านโชคอยู่ไม่ถึง 20 หลังคาเรือน แต่ในปี 2526 ดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่ขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวได้เดินทางไปพบ จึงสั่งทำขึ้นและออกเผยแพร่ทางวารสารและสื่อมวลชนต่าง ๆ ทำให้ประเกือมเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงต้นปี 2532 ปรากฏว่ามีครอบครัวทำเครื่องเงินมากกว่า 50 หลังคาเรือนแล้ว ซึ่งทั้งหมดทำอยู่ที่บ้านโชคทั้งสิ้น
ระหว่างวันที่ 4-15 พฤษภาคม 2532 สมาคมหัตถอุตสาหกรรมอีสานใต้ ร่วมกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ได้จัดแสดงสินค้า “เครื่องเงิน ตระกร้า ผ้าสุรินทร์” ขึ้นที่ห้องแกรนด์ ฮอลล์ ศูนย์การค้าริเวอร์ซิตี้ กรุงเทพมหานคร ในการจัดงานครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจากสื่อมวลชนต่าง ๆ เป็นอย่างดี โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ได้ตีพิมพ์ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ทำให้เครื่องเงินสุรินทร์เป็นที่รู้จักมากขึ้น
ภายหลังการจัดงานเสร็จแล้ว ปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศไปเยี่ยมชมการทำเครื่องเงินหมู่บ้านนี้มากขึ้น การทำประเกือมจึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันนี้ชาวตำบลเขวาสินรินทร์เกือบทั้งตำบล มีรายได้หลักจากการผลิตและจำหน่ายประเกือม การทำประเกือมนี้จะมีการจับกลุ่มกัน แต่ละกลุ่มประกอบด้วย ช่างที่มีความชำนาญ 1 คน และลูกมือที่มีความชำนาญรองลงไปตามลำดับ จนถึงเด็กฝึกงานอีก 4 คน รวมเป็น 5 คน แต่ละคนจะทำหน้าที่แต่ละอย่างตามความชำนาญมากน้อยต่างกันไป (ดูภาพประกอบ)
หน้า 117
ลูกประเกือม ที่มีทำในหมู่บ้านนี้ ถ้าพิจารณาตามรูปแบบแล้วจะมีอยู่ประมาณ 13 แบบ คือถุงเงิน หมอน แปดเหลี่ยม หกเหลี่ยม กรวย แมงดา กะดุม โอ่ง มะเฟือง ตะโพน ฟักทอง จารย์ (ตะกรุด) ประเกือม แต่ละแบบจะมีขนาดที่แตกต่างกันไป ซึ่งขนาดเล็กที่สุดจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณครึ่งเซนติเมตร จนถึงขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5-3 เซนติเมตร ส่วนลักษณะที่ทำนั้น ก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไปบ้างแล้วแต่ความต้องการของผู้สั่งหรือผู้ทำที่เห็นว่าควรจะมีการดัดแปลงจากเดิมอย่างไรบ้าง (แบบลายเส้น) แต่ทั้งหมดนี้ได้มาจากจินตนาการจากธรรมชาติรอบตัวของเขาในสมัยนั้นนั่นเอง
ในการทำประเกือมนี้ โดยวัตถุประสงค์ในการทำนั้นเพื่อสร้างความสวยงามเป็นที่ประทับใจของผู้พบเห็นยิ่งขึ้นนั่นเอง ดังนั้นเนื้อเงินจึงอยู่เฉพาะด้านนอกบาง ๆ เท่านั้น ส่วนด้านในเป็นครั่ง การที่มีเนื้อเงินอยู่ด้านนอกบาง ๆ ทำให้สะดวกในการแกะลาย เนื้อเงินนี้จึงมีความบริสุทธิ์มาก เพราะถ้าหากมีโลหะอื่นผสมแล้ว จะทำให้เนื้อเงินแข็งไม่สามารถแกะลายได้ จึงเป็นเครื่องป้องกันความบริสุทธิ์ในตัวของประเกือมสุรินทร์ เพราะถ้าหากมีการผสมโลหะอื่นแล้วจะทำไม่ได้ ในด้านลายก็เช่นเดียวกัน ตามปกติก็จะแกะลายที่เห็นจากธรรมชาตินั่นเอง เช่นลายตรง = ลายตาราง ลายกลีบบัว ลายดอกพิกุล ลายดอกจันทน์ ลายพระอาทิตย์ ลายดอกทานตะวัน ลายตากบ ฯลฯ ซึ่งลายต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนมาจากธรรมชาติรอบตัวเขาทั้งสิ้น
ประเกือมที่พบ จะเป็นสีดำเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้เพราะหลังจากทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ช่างจะต้องเอาไปรงดำ เพื่อให้ลายที่แกะนั้นเด่นชัดขึ้นกว่าเดิม ความสวยงามของประเกือมสุรินทร์นั้น อยู่ที่ลายที่แกะด้านนอก กับความแวววาวของเนื้อโลหะเงิน
หน้า 127
การเรียงร้อยสร้อยประคำ
โดยธรรมชาติของโลหะเงินนั้น มีความงามอยู่ในตัวอยู่แล้ว เพราะเป็นโลหะที่มีความแวววาว ทำให้เป็นที่นิยมใช้ทำเครื่องประดับ แต่การทำประเกือมนั้น เป็นการเพิ่มสีสรรให้แก่โลหะเงิน ในรูปของศิลปะเพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นจึงทำให้มีผู้นิยมเอาประเกือมเหล่านี้มาเรียงร้อยทำสร้อยคอ สร้อยข้อมือ ต่างหู และผสมกับวัตถุชนิดอื่น เช่นมุก ลูกปัดหิน นิล โกเมน คริสตัล และเงินในรูปอื่น เช่นเม็ดข้าว เม็ดทราย การนำเอาประเกือมไปผสมกับสิ่งดังกล่าวนี้ เป็นการเพิ่มความสวยงามในรูปของศิลปะและคุณค่าของสร้อยชนิดต่าง ๆ เหล่านั้นมากขึ้น