เรื่องมงคลสูตร (ต่อ)
๑๐ สิงหาคม ๒๕๒๔
จะแสดงมงคลสูตรต่อ เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงมงคลด้วยคาถาที่หนึ่งแล้ว ก็ได้ตรัสแสดงมงคลคาถาที่สองต่อไปว่า
ปฏิรูปเทสวาโส จ ความอยู่ในประเทศอันสมควร ๑
ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา ความเป็นผู้มีบุญอันทำแล้วในก่อน ๑
อตฺตสมฺมาปณิธิ จ ความตั้งตนไว้ชอบ ๑
เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
อธิบายสังเขป ประเทศอันสมควรหมายถึงถิ่นที่อยู่อันสมควร โดยความทั่วไปก็ได้แก่อยู่ในถิ่นอันใดให้สำเร็จประโยชน์ตามที่ต้องการ ถิ่นอันนั้นก็ได้ชื่อว่าประเทศอันสมควร ถิ่นอันสมควรสำหรับประโยชน์ที่มุ่งหมายนั้น เช่น ต้องการศึกษา มีโรงเรียน มีครูบาอาจารย์จะให้การศึกษาได้ในถิ่นอันใด ถิ่นอันนั้นก็เป็นถิ่นอันสมควร เป็นปฏิรูปเทสสำหรับการศึกษา การประกอบการงานก็เช่นเดียวกัน อยู่ในที่ใดจะได้การได้งานให้สำเร็จประโยชน์ตามที่ต้องการ ถิ่นหรือที่นั้นก็เป็นปฏิรูปเทสสำหรับการงานที่จะประกอบกระทำนั้น อยู่ในถิ่นอันใดให้บังเกิดความสุขความเจริญต่อตน ถิ่นอันนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นปฏิรูปเทส
อีกอย่างหนึ่ง เมื่อแสดงเชื่อมความกับมงคลที่ตรัสไว้ในคาถาที่หนึ่ง ประเทศถิ่นซึ่งเป็นที่อยู่ของบัณฑิตทั้งหลาย ของสัตบุรุษคือคนดีทั้งหลาย เป็นประเทศถิ่นที่มีความร่มเย็นเป็นสุข มีผู้ปกครองที่ตั้งอยู่ในธรรม มีศาสนาที่ดีเช่นพุทธศาสนาที่นับถือ และมีที่ประกอบอาชีพการงานให้ได้รับประโยชน์สำหรับดำรงชีวิต มีเครื่องแวดล้อมที่ทำให้เกิดความสุขความสงบ เหล่านี้เป็นต้น ก็รวมเรียกว่าเป็นปฏิรูปเทส ถิ่นอันสมควร
ความเป็นผู้มีบุญอันทำแล้วในก่อน ก็หมายถึงว่าบุญคือความดีต่าง ๆ ซึ่งได้กระทำแล้วในกาลก่อน ย่อมเป็นเครื่องอุปถัมภ์ให้บังเกิดความสุขความเจริญในปัจจุบัน และในข้อนี้ก็ต้องทำความเข้าใจว่า แม้บุญคือความดีต่าง ๆ ที่ได้กระทำไว้แล้วในวันนี้ก็ย่อมจะเป็น ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา สำหรับวันพรุ่งนี้ เหมือนอย่างความดีที่ได้กระทำไว้แล้วเมื่อวานนี้ ก็เป็น ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา สำหรับวันนี้ ความดีที่ได้กระทำไว้แล้วในปีนี้ก็เป็น ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา สำหรับในปีหน้า หรือว่าความดีที่ได้กระทำไว้แล้วในปีที่แล้วก็ได้เป็น ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา สำหรับในปีนี้ เพราะฉะนั้น ในข้อนี้จึงมิได้หมายความว่าให้พึ่งบุญเก่าก็แล้วกัน ถ้าบุญเก่าไม่มีก็เป็นอันว่าไม่มีโอกาสที่จะได้ความสุขความเจริญ ไม่ใช่หมายความอย่างนั้น หมายความว่าในวันนี้ก็ให้ทำความดีซึ่งเป็นความดีในปัจจุบัน และความดีในปัจจุบันนี้เองก็จะเป็นปัจจัยอุดหนุนให้เกิดความสุขความเจริญในวันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ ดังนี้เป็นต้น เพราะว่าเราก็จะต้องถึงวันพรุ่งนี้วันมะรืนนี้ในเมื่อชีวิตยังดำรงอยู่ และแม้วันนี้เองก็เป็นวันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้สำหรับวันที่ล่วงมาแล้ว เพราะฉะนั้น จึงต้องทำความดีในวันนี้ และทำความดีอยู่เสมอ ๆ อยู่เรื่อย ๆ ไป และในข้อนี้จะเห็นได้ว่า ทุก ๆ คนนั้นต้องอาศัยความดีเก่ากันอยู่ด้วยกันทั้งนั้น เช่นว่าการสอบไล่ในปลายปี เมื่อเรียนมาครบปีหนึ่งก็มีการสอบไล่เลื่อนชั้น การสอบไล่เลื่อนชั้นนั้นก็เป็นผลของความดี คือการศึกษาเล่าเรียนที่ได้กระทำมาแล้วตั้งแต่ต้นปีโดยลำดับ และเมื่อมาถึงปลายปีถึงคราวสอบไล่ก็เป็นความดีเก่า คือเป็น ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา ใครที่มี ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา ดี คือตั้งใจศึกษาเล่าเรียนมาดี การสอบไล่ในปลายปีก็ย่อมจะได้ผลตามที่ต้องการมากกว่าคนที่เกียจคร้าน เพราะฉะนั้น แม้ในปัจจุบันนี้เอง ทุกคนก็ต้องอาศัยความดีเก่า คือต้องทำความดีกันเรื่อย ๆ มา แล้วจึงจะให้ผลกันคราวหนึ่ง ๆ ในการเลื่อนขั้นของการงานก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องอาศัยความดีเก่าที่ได้ปฏิบัติกระทำมาในปีหนึ่ง ๆ แล้วก็เลื่อนขั้นกันครั้งหนึ่ง ๆ เหล่านี้เป็นต้น
ความตั้งตนไว้ชอบ ก็หมายความว่าความตั้งตนไว้ในความที่ถูกที่ควร ทำตนที่ไม่ศรัทธาขึ้น ที่ไม่มีศีลให้มีศีลขึ้น ที่ไม่มีจาคะไม่มีปัญญา ให้มีจาคะมีปัญญาขึ้น เรียกว่าเป็นความตั้งตนไว้ชอบ ทั้ง ๓ นี้ก็เป็นมงคลอันสูงสุด
และต่อจากนั้น พระบรมศาสดาก็ได้ตรัสมงคลเป็นคาถาที่ ๓ ว่า
พาหุสจฺจญฺจ ความได้สดับแล้วมาก ๑
สิปฺปญฺจ ศิลปศาสตร์ ๑
วินโย จ สุสิกฺขิโต วินัยอันศึกษาดีแล้ว ๑
สุภาสิตา จ ยา วาจา วาจาใดที่กล่าวดีแล้ว ๑
เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
อธิบายสังเขป ความได้สดับแล้วมากก็หมายความว่า ความที่ได้สดับศึกษาทรงจำวิทยาการต่าง ๆ ไว้ได้มาก สำหรับในทางพุทธศาสนาก็คือทรงจำพระพุทธวัจนะไว้ได้มาก เรียนมากจำไว้ได้มาก
สิปฺปญฺจ ศิลปะนั้น ความหมายหมายถึงความฉลาดในหัตถกรรม หรือหัตถกิจ คือกิจที่จะพึงกระทำด้วยมือ ได้แก่การช่างต่าง ๆ หรือแม้ที่เรียกว่าศิลปะในความหมายปัจจุบัน
วินัยที่ศึกษาดีแล้ว ก็หมายถึงว่าได้ปฏิบัติศึกษาวินัย ทำตนให้เป็นผู้มีวินัย คือปฏิบัติฝึกหัดกายหัดวาจาด้วยความตั้งใจให้เป็นระเบียบเรียบร้อยดีงาม ปฏิบัติตนอยู่ในวินัยของหมู่ของคณะ เช่นเป็นภิกษุก็ปฏิบัติตามวินัยของภิกษุ เป็นสามเณร ก็ปฏิบัติตามวินัยของสามเณร ในฝ่ายคฤหัสถ์ เมื่อเป็นทหารก็ปฏิบัติตามวินัยของทหาร เป็นข้าราชการก็ปฏิบัติตามวินัยของราชการ แม้เป็นประชาชนทั่วไป ก็ปฏิบัติตามวินัยของบ้านเมือง คือกฎหมาย และระเบียบจารีตประเพณีที่ดีงามต่าง ๆ อันเป็นความประพฤติทางกายทางวาจา รวมความก็คือ การที่ปฏิบัติฝึกหัดดัดกาย ดัดวาจาให้เป็นระเบียบเรียบร้อยดีงาม
วาจาที่เป็นสุภาษิต คือวาจาที่กล่าวดี หมายความว่าให้พูดดี ที่เรียกว่าวาจาเป็นสุภาษิต คือพูดดีนั้น ก็คือพูดถูกกาละ พูดถูกกาลเวลา พูดวาจาที่เป็นความจริง พูดวาจาที่อ่อนหวานที่สุภาพ พูดวาจาที่ประกอบด้วยประโยชน์ และพูดวาจาประกอบด้วยจิตมีเมตตา คือมุ่งดีปรารถนาดี
ทั้งหมดนี้เป็นมงคลอันสูงสุด เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสมงคลด้วยคาถานี้แล้ว ก็ได้ตรัสมงคลเป็นคาถาที่สี่ต่อไปว่า
มาตาปิตุอุปฏฺฐานํ ความบำรุงซึ่งมารดาและบิดา ๑
ปุตฺตทารสฺส สงฺคโห ความสงเคราะห์บุตรและภรรยา ๑
อนากุลา จ กมฺมนฺตา การงานไม่อากูล ๑
เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
อธิบายสังเขป ความบำรุงบิดามารดาก็คือ ความที่บำรุงบิดามารดาด้วยการที่เอาใจใส่ดูแลท่าน ปฏิบัติในสิ่งที่ท่านต้องการให้ช่วยเหลือต่าง ๆ เหล่านี้เป็นต้น ตามหน้าที่ที่บุตรธิดาที่ดีพึงปฏิบัติต่อมารดาบิดา ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้แล้วในทิศ ๖ และอีกอย่างหนึ่งคือ การที่มาปฏิบัติรักษาจิตใจของท่านให้มีความสุข และส่งเสริมให้ท่านเจริญในธรรมปฏิบัติ ส่งเสริมให้ท่านปฏิบัติในการที่เพิ่มพูนความดีต่าง ๆ ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน เช่น ทำให้ท่านเจริญด้วยศรัทธา เจริญด้วยศีล เจริญด้วยจาคะ เจริญด้วยปัญญาดั่งนี้เป็นต้น รวมความว่าปฏิบัติให้ท่านได้มีความสุขทั้งทางกาย ทั้งทางใจ และให้ท่านเจริญด้วยสัมมาปฏิบัติต่าง ๆ ดั่งนี้เรียกว่าเป็นการบำรุงซึ่งมารดาบิดา
การสงเคราะห์บุตรและภรรยา ถ้าเป็นสตรี ก็เป็นการสงเคราะห์บุตรและสามี ก็หมายความว่าการที่ปฏิบัติต่อบุตรภริยา หรือบุตรหรือสามีด้วยดีตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ในทิศ ๖ และรวมความก็คือปฏิบัติอันประกอบด้วยทาง คือการสละให้แก่กันได้ ปิยวาจา เจรจาถ้อยคำอันเป็นที่รัก อัตถะจริยา ประพฤติประโยชน์ต่อกัน และสมานัตตตา คือความที่วางตนสม่ำเสมอ เพื่อที่จะให้มีความสุขและมีความเจริญ ข้อนี้จึงแยกได้เป็น ๒ คือ สงเคราะห์บุตรรวมทั้งบุตรธิดาข้อหนึ่ง สงเคราะห์ภริยาข้อหนึ่ง
ข้อว่าการงานทั่งหลายไม่อากูล คำว่าไม่อากูลนั้นก็คือว่า การงานที่ไม่ล่วงเวลา หมายความว่าการงานอันใดควรจะกระทำเวลาไหนก็กระทำในเวลานั้นให้เสร็จสิ้น ไม่ทำให้ล่วงกาลล่วงเวลาที่เรียกว่าสายเสียแล้ว กระทำการงานที่สมควร คือมิใช่การงานที่ไม่สมควร และการงานอันใดที่ควรกระทำก็ต้องกระทำ ไม่ใช่ทอดทิ้งเสียไม่ใช่กระทำ และเมื่อจับกระทำแล้ว ก็ทำให้จริงจัง ไม่ใช่กระทำให้ย่อหย่อน เหล่านี้รวมเรียกว่า การงานที่ไม่อากูล
ทั้งหมดนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ครั้นพระพุทธเจ้าได้ตรัสมงคลคาถานี้แล้ว ก็ได้ตรัสมงคลด้วยคาถาที่ห้าต่อไปว่า
ทานญฺจ การให้ ๑
ธมฺมจริยา จ ความประพฤติซึ่งธรรม ๑
ญาตกานญฺจ สงฺคโห ความสงเคราะห์ซึ่งญาติทั้งหลาย ๑
อนวชฺชานิ กมฺมานิ กรรมทั้งหลายไม่มีโทษ ๑
เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
อธิบายสังเขป ทาน การให้ก็หมายถึงว่า การให้แก่บุคคลที่ควรให้ ให้สิ่งที่ควรให้เพื่อสงเคราะห์อนุเคราะห์บูชาต่าง ๆ เป็นการเฉลี่ยความสุขของตนให้แก่ผู้อื่น
ธมฺมจริยา จ ความประพฤติซึ่งธรรม ก็หมายถึงความประพฤติทางกายทางวาจาทางใจตามคลองธรรม ความประพฤติที่เป็นธรรมจริยาคือความประพฤติตามคลองธรรมนี้ ทางกายก็คือ ความประพฤติเว้นจากการฆ่า แต่ประพฤติประกอบด้วยความเกื้อกูลแก่ชีวิตและร่างกายของผู้อื่น ความประพฤติเว้นจากลักทรัพย์ แต่ว่าประพฤติประกอบสัมมาอาชีวะ คือเลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบต่าง ๆ ความประพฤติเว้นจากประพฤติผิดในกามทั้งหลาย แต่ว่าประพฤติชอบในกามทั้งหลาย มีความสันโดษยินดีด้วยคู่ครองของตัวไม่นอกใจ นี้เป็นธรรมจริยา ความประพฤติธรรมทางกาย ความประพฤติธรรมทางวาจานั้นก็คือไม่พูดเท็จ แต่พูดถ้อยคำที่เป็นจริง ประกอบด้วยประโยชน์และถูกกาลเวลา ไม่พูดส่อเสียดยุแยงให้เขาแตกกัน แต่พูดประสานสามัคคี ไม่พูดคำหยาบ แต่พูดคำที่สุภาพอ่อนโยน ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล แต่พูดถ้อยคำที่ประกอบด้วยธรรม ประกอบด้วยวินัย ยุติด้วยหลักฐาน ทั้ง ๔ นี้ เป็นความประพฤติธรรมทางวาจา ประพฤติธรรมทางใจนั้นก็คือ ไม่โลภเพ่งเล็งทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตน แต่ประกอบด้วยความสันโดษคือความยินดีด้วยสิ่งของของตน ไม่พยาบาทปองร้าย แต่ว่าประกอบด้วยความเมตตา ความกรุณาแผ่ออกไป ไม่มีความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม แต่มีความเห็นชอบเช่น เห็นว่าบาปบุญมี และทำบุญได้บุญ ทำบาปได้บาป มารดาบิดาเป็นผู้มีพระคุณ ครูบาอาจารย์มีพระคุณ ทานศีล เป็นต้น ที่ได้ปฏิบัติกระทำเป็นสิ่งมีผล เหล่านี้เป็นต้น เป็นความประพฤติธรรมทางใจ
สงเคราะห์ซึ่งญาติทั้งหลาย ก็คือความสงเคราะห์ญาติทั้งหลายตามสมควร ไม่ดูหมิ่นญาติของตนเอง และให้ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลตามที่จะพึงกระทำได้
กรรมทั้งหลายที่ไม่มีโทษ หมายความว่า กรรม คือการงานทั้งหมดที่ไม่มีโทษ ก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ เช่นว่าการสมาทานองค์ของอุโบสถ การกระทำเป็นการช่วยขวนขวายในกิจการที่ควรทำทั้งหลายของหมู่คณะและของบุคคลอื่น และแม้การอื่นเช่นว่า การปลูกต้นไม้ การสร้างสะพาน หรือการสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ เหล่านี้เรียกว่าเป็นการงานที่ไม่มีโทษ เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ทั้งหมดนี้ก็เป็นมงคลอันสูงสุด
พระบรมศาสดา ได้ตรัสมงคลในคาถาที่หกต่อไปว่า
อารตี วิรตี ปาปา ความงดเว้นจากบาป ๑
มชฺชปานา จ สญฺญโม ความสำรวมจากการดื่มซึ่งน้ำเมา ๑
อปฺปมาโท จ ธมฺเมสุ ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๑
เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
ข้อว่า อารดี วิรตี ปาปา ความงดเว้นจากบาป คือความงดจากบาปและความเว้นจากบาป โดยอธิบายแยกว่า ความงดจากบาปคือการที่งดด้วยใจ อันหมายความว่า ความไม่ยินดีที่จะกระทำบาปด้วยใจ จึงมีความงดด้วยใจจากเจตนา ที่จะกระทำบาป โดยที่มีความเห็นโทษในบาป เรียกว่าความงดจากบาป ความเว้นจากบาปก็คือความเว้นได้ทางกายทางวาจา
มชฺชปานา จ สญฺญโม ความสำรวมจากการดื่มซึ่งน้ำเมา ไม่ได้หมายความว่าดื่มได้บ้าง คือให้สำรวมดื่ม ไม่ได้หมายความว่าให้สำรวมดื่มพอดิบพอดี ไม่ใช่อย่างนั้น ความสำรวมจากการดื่มในที่นี้ หมายความว่า ความเว้นจากการดื่มซึ่งน้ำเมา ชื่อว่าความสำรวมจากการดื่มซึ่งน้ำเมา อันรวมถึงเครื่องมึนเมาต่าง ๆ ซึ่งมีในสมัยก่อนกับทั้งในสมัยปัจจุบันทั้งหมด
ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ก็คือความไม่ประมาทในการที่จะเว้นจากอกุศลธรรมทั้งหลาย และที่จะอบรมกุศลธรรมทั้งหลายให้เกิดขึ้น รวมความว่าไม่ประมาททั้งในการเว้นในการละ ทั้งในการกระทำ เพราะถ้ามีความประมาทเสียแล้ว ก็จะทำให้เว้นไม่ได้ และทำให้กระทำไม่ได้ เมื่อมีความไม่ประมาทคือ มีความไม่มัวเมาเลินเล่อ เผลอ เพลิน มีสติรักษาตน รักษาจิตใจอยู่ จึงจะทำให้ละอกุศลธรรมทั้งหลาย และประกอบกระทำกุศลธรรมทั้งหลายให้บังเกิดขึ้นได้อย่างดี ดั่งนี้ชื่อว่าไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ทั้งหมดนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
ครั้นแล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสคาถาที่เจ็ดต่อไปว่า
คารโว จ ความเคารพต่อบุคคลที่ควรเคารพ ๑
นิวาโต จ ความไม่จองหอง ๑
สนฺตุฏฺฐี จ ความยินดีด้วยของอันมีอยู่ ๑
กตญฺญุตา ความเป็นผู้รู้อุปการะอันชนอื่นทำแล้วแก่ตน ๑
กาเลน ธมฺมสฺสวนํ ความฟังธรรมโดยกาล ๑
เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
อธิบายสังเขป ความเคารพรวมทั้งความแสดงความกราบไหว้บูชา ความแสดงความนับถืออันทุก ๆ คนพึงกระทำต่อบุคคลที่ควรเคารพควรแสดงความนับถือทั้งหลาย อันหมายความว่าไม่เป็นคนที่กระด้าง ถือตัว เมื่อเป็นบุคคลที่ควรเคารพก็ให้แสดงความเคารพ เช่นมีความเคารพต่อพระรัตนตรัย ต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดจนถึงวัตถุที่นับเนื่องในพระรัตนตรัย เช่นพระพุทธปฏิมา มีความเคารพต่อบิดามารดา ต่อครูบาอาจารย์ เหล่านี้เป็นต้น
ความไม่จองหอง ก็คือความที่ไม่ทะนงตน ความทะนงตนคือความพองตน ดังที่ในบัดนี้เรียกว่า เบ่ง เป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะว่าความเบ่งก็ดี ความทะนงตนก็ดี ย่อมทำให้ไม่เป็นมงคลต่อตนเอง ทำให้เป็นที่ตำหนิติเตียนแก่ผู้ที่เห็นทั้งหลาย แม้เขาจะไม่พูดเขาก็ต้องนึกอยู่ในใจว่าบุคคลคนนี้ไม่ดี เพราะฉะนั้น ก็ต้องระมัดระวังที่จะปฏิบัติตน ไม่เป็นคนที่เบ่งหรือทะนงตน
สันโดษ คือความยินดีด้วยของอันมีอยู่ ก็รวมถึงความยินดีตามกำลัง ความยินดีตามสมควรด้วย อันเป็นเหตุให้จิตใจมีความอิ่ม มีความเป็น มีความพอ ที่ท่านแสดงว่าเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง เพราะว่าไม่ว่าจะมีทรัพย์เท่าใด ถ้าไม่มีสันโดษแล้วก็ยังจนอยู่ร่ำไปไม่รู้จักพอ แต่ว่าถ้ามีสันโดษแล้ว แม้จะมีทรัพย์ที่เป็นวัตถุอยู่ไม่มากนัก ก็รู้สึกว่ามั่งมี อิ่มเต็มพอ เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้จักปฏิบัติให้มีสันโดษอยู่ตามสมควร
กตญฺญุตา หรือความกตัญญูรู้อุปการะอันคนอื่นทำแล้ว เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ และเป็นสิ่งที่มีอุปการะมาก เพราะความกตัญญูจะทำให้เป็นผู้รู้จักคุณคน และรู้จักที่จะปฏิบัติตอบแทนคุณของท่านในทางที่ชอบ ไม่ลบหลู่คุณท่าน ทำให้บังเกิดความเจริญต่อตนเอง เพราะจะทำให้ตนเองปฏิบัติตนอยู่ในทางที่ดีที่ชอบ รักษาความดีความชอบยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้ด้วย
ความฟังธรรมโดยกาลนั้น ก็คือความฟังหรืออ่านธรรม ดังธรรมที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าตามกาลเวลาอันสมควร ก็จะเป็นการเพิ่มพูนสติปัญญาและสัมมาปฏิบัติให้แก่ตน เหล่านี้เป็นมงคลอันสูงสุด
ครั้นแล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่ตรัสมงคลเป็นคาถาที่แปด ต่อไปว่า
ขนฺตี จ ความอดทน ๑
โสวจสฺสตา ความเป็นผู้ว่าง่าย ๑
สมณานญฺจ ทสฺสนํ ความเห็นท่านผู้ระงับบาปทั้งหลาย ๑
กาเลน ธมฺมสากจฺฉา ความเจรจาซึ่งธรรมโดยกาล ๑
เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
อธิบายสังเขป ขันติ ความอดทน หมายความว่าอดทนต่อความตรากตรำ เช่นอดทนต่อหนาวร้อน หิวกระหาย ทำการทำงานอดทนต่อความลำบาก เช่นอดทนต่อทุกขเวทนาที่เกิดในเวลาป่วยไข้ และอดทนต่อความเจ็บใจ อันหมายความว่าอดทนต่อถ้อยคำอันมีผู้กล่าวจาบจ้วงอันทำให้เกิดโทสะ ก็ทำความอดทนไว้ ความความก็คือว่าอดทนต่อรูป ต่อเสียง ต่อกลิ่น ต่อรส ต่อโผฏฐัพพะ และต่อธรรม คือเรื่องราวทางใจอันเป็นที่ตั้งแห่งโลภโกรธหลงทั้งหลาย หรือเป็นที่ตั้งแห่งราคะโทสะโมหะนั้นเอง เหล่านี้เป็นขันติคือความอดทน
โสวจสฺสตา ความเป็นผู้ว่าง่าย หมายความว่าเป็นผู้ไม่ดื้อดึงถือรั้น เมื่อมีผู้ว่ากล่าวอันถูกต้อง พิจารณาเห็นว่าถูกต้องก็ยอมรับและยอมปฏิบัติ แต่ทว่าถ้าไม่ถูกต้อง ก็ไม่รับไม่ปฏิบัติ แต่ก็ไม่ควรจะโกรธต่อผู้ที่ว่ากล่าว เป็นแต่เพียงว่าเมื่อถูกเมื่อชอบก็รับปฏิบัติ เมื่อไม่ถูกไม่ชอบก็ไม่รับไม่ปฏิบัติ ไม่ดื้อดึงถือรั้นต่อสิ่งที่ถูกต่อสิ่งที่ชอบ มีความรู้สึกในผู้ที่กล่าวแนะนำตักเตือนในสิ่งที่ถูกที่ชอบ เหมือนอย่างผู้ที่ชี้ขุมทรัพย์ให้ บรรดาผู้ที่ต้องการทรัพย์ เมื่อมีผู้มาชี้ขุมทรัพย์ให้ก็ย่อมมีความยินดีฉันใด ผู้ที่มุ่งถูกมุ่งต้องเมื่อมีผู้มาว่ากล่าวตักเตือนในทางที่ถูกที่ชอบก็มีความยินดีรับฟัง เหมือนอย่างเขามาชี้ขุมทรัพย์ให้ฉะนั้น
ความเห็นสมณะ คือผู้ระงับบาปทั้งหลายย่อมจะทำให้มีจิตใจสงบระงับ และจะนำให้เกิดศรัทธา ความเชื่อ ปสาทะ ความเลื่อมใสในท่านผู้ที่สงบระงับนั้น นำให้เข้านั่งใกล้และให้สดับฟังคำสั่งสอน และจะได้สติปัญญา ได้ทางปฏิบัติที่ถูกต้อง นำไปปฏิบัติให้เกิดความสุขความเจริญแก่ตน
การเจรจาธรรมโดยกาล ก็คือว่าสนทนาธรรมกันโดยกาล อันหมายความว่า ให้สนทนาธรรมกันโดยกาลเวลาอันสมควรด้วย ไม่ควรจะสนทนากันในเรื่องอื่น ๆแต่เพียงอย่างเดียว ควรจะนึกถึงธรรมและสนทนาธรรมกันบ้าง เพราะการสนทนาธรรมกันบ้างนั้น ก็จะทำให้ได้ปัญญาในธรรม ได้สติปัญญาในธรรมกันยิ่งขึ้น นำให้มีความเจริญด้วยสัมมาปฏิบัติ คือปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
วันนี้ยุติเท่านี้