เรื่องมงคลสูตร
๙ สิงหาคม ๒๕๒๔
ได้แสดงเรื่องการสวดมนต์ ได้และได้กล่าวถึงความเป็นมาของพุทธศาสนา โดยทรงจำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และได้มีการประชุมกันทำสังคายนาชำระพระธรรมวินัย ก็โดยประชุมพระภิกษุผู้ที่ทรงจำได้มาสอบทานกัน และเมื่อตกลงกันว่าถูกต้องก็สวดขึ้นพร้อมๆ กันเป็นการทำความทรงจำร่วมกัน และวิธีนี้ก็ปรากฏว่าได้ใช้มาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว โดยคณะภิกษุผู้ที่ทรงจำพระสูตรพระวินัยมาติกาอันใดอันหนึ่งตรงกันก็สนทนาสอบทานกัน และก็ปรากฏว่าได้มีการทรงจำ และพระเถระบางรูปก็ได้สวดถวายพระพุทธเจ้าทรงสดับก็มี และต่อมาก็ได้มีการสวดทำวัตรสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยในเวลาเช้า ในเวลาเย็นหรือค่ำ และได้มีการสวดพระสูตรเป็นต้นที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าต่อจากทำวัตรในเวลาเย็นหรือค่ำโดยมาก ก็เท่ากับว่าเป็นการสอบทานความจำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้สืบต่อไปด้วย และเท่ากับว่าเป็นการได้ฟังธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงแสดงสั่งสอนในเมื่อยังทรงมีพระชนม์อยู่ด้วย และก็ได้มีฝ่ายคฤหัสถ์ต้องการฟังพระสวดพระสูตรเป็นต้นที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ได้มาฟังพระสวดในวัดหรือในที่ๆ พระสงฆ์พำนักอยู่ และก็ได้นิมนต์พระไปสวดให้ฟังในบ้าน จึงได้มีธรรมเนียมการนิมนต์พระไปสวดมนต์ในบ้าน ปรากฏเรื่องราวเป็นหลักฐานตั้งแต่ในสมัยที่พระพุทธศาสนาตั้งอยู่ในประเทศลังกาหรือศรีลังกาในปัจจุบัน พระมหากษัตริย์ผู้ปกครองประเทศได้อาราธนาพระไปสวดมนต์ และก็โปรดให้พระรวบรวมบทสวดมนต์ นิมนต์ไปสวดเพื่อบำเพ็ญกุศลในงานบำเพ็ญกุศลต่างๆ ที่มักเรียกว่างานมงคลตลอดจนถึงในงานศพ และบทสวดสำหรับงานบำเพ็ญกุศลต่างๆ ที่ต้องการความสุขความเจริญอันเรียกว่ามงคล ก็ได้มีบทสวดที่ตั้งเป็นแบบไว้ตั้งแต่ในลังกานั้น และที่ประเทศไทยเราก็ได้รับมาปฏิบัติกันอยู่ ซึ่งชาวพุทธในประเทศไทยย่อมจะได้ยินได้ฟังกันอยู่เป็นอันมาก ก็คือบทสวดมนต์ที่เรียกกันว่า เจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน
บทสวดมนต์ที่เรียกว่าเจ็ดตำนานนั้น ถ้าเรียกตามภาษาจากลังกาก็เรียกว่าสัตตปริตร สัตต ก็แปลว่าเจ็ด ปริตร ก็แปลว่าพระปริตร คือพระปริตร ๗ บท คำว่าปริตรที่แปลว่าพระปริตรนี้ เป็นการแปลทับศัพท์ซึ่งภาษไทยนำมาใช้ดังนี้เรียกว่าสวดพระปริตร และคำว่าปริตรนี้แปลว่าป้องกัน นำเอาคำนี้มาใช้ก็ด้วยต้องการให้มีความหมายว่า บทสวดมนต์ที่สวดนี้เป็นเครื่องป้องกันคือสวดเพื่อป้องกัน ป้องกันอะไรก็สุดแต่จะตีความหมาย ถ้าตีความหมายในทางธรรมปฏิบัติ ก็เป็นเครื่องป้องกันจิตใจ คือเป็นเครื่องระงับนิวรณ์ กิเลสที่ครอบงำจิตใจ ทำจิตใจให้กลัดกลุ้มวุ่นวาย เพราะเมื่อตั้งใจฟังสวดมนต์หรือว่าตั้งใจสวดเองก็จะทำให้จิตใจมีความสงบจากกิเลสที่บังเกิดที่บังเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตใจทั้งหลาย ทำจิตใจให้มีความสงบ และน้อมนำจิตใจให้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และให้เข้าถึงพระธรรม เมื่อมีความเข้าใจในบทที่สวดนั้นก็จะทำให้เข้าใจพระธรรมที่ฟังหรือที่สวด ทำให้เข้าถึงพระธรรมมากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่มีความเชื่อถือที่เกี่ยวแก่ต้องการป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ภายนอก ก็มุ่งที่จะให้เป็นเครื่องป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ภายนอกตามความเชื่อถือ เพราะดังที่ได้กล่าวแล้วว่า สำหรับคนทั่วไปนั้นยังละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ไม่ได้ ก็จำเป็นที่จะต้องมีความยึดถือในศีล และวัตร เพราะฉะนั้น ยึดถือศีลและวัตรในพุทธศาสนา หรือยึดถือคุณในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์สำหรับเป็นเครื่องป้องกันภัยอันตรายภายนอก ก็ยังดีกว่าไปยึดถือศีลและวัตรนอกพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นศีลและวัตรในทางที่ผิดก็ยิ่งจะนำให้ไปผิดมากขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อยังต้องยึด ให้มายึดในพุทธศาสนาก็ยังดีกว่า ในเมื่อจิตใจเข้าถึงธรรมสูงขึ้นก็จะละไปเองสำหรับในขั้นหยาบ ๆ ก้าวขึ้นสู่ขั้นละเอียด เพราะฉะนั้น การเข้าถึงพุทธศาสนา การเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จึงเป็นไปตามขั้นตอน ฉะนั้น คำว่าปริตร ที่แปลว่าเป็นเครื่องป้องกันนี้ ป้องกันอะไร ก็อธิบายได้ตามขั้นตอนดังกล่าว ก็เพื่อเป็นเครื่องป้องกัน ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า พระปริตร และสัตตปริตรก็คือปริตร ๗ บท ซึ่งไทยเรามาเรียกว่า เจ็ดตำนาน ก็โดยพระปริตรแต่ละบทนั้น มีตำนานที่แสดงถึงเรื่องราวเกิดขึ้นของบทสวดมนต์นั้นแต่ละบท พระปริตรบทหนึ่ง
ๆ ก็มีตำนานที่แสดงถึงเรื่องเกิดขึ้น อันเป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมสั่งสอนข้อนั้น ๆ เพราะฉะนั้น พระปริตรบทหนึ่ง ก็เป็นตำนานหนึ่ง จึงเรียกว่าเจ็ดตำนาน
บทสวดเจ็ดตำนานนี้ ใช้สวดกันมากในงานที่นิมนต์พระไปสวดที่ถือกันว่าเป็นงานมงคล หรือต้องการมงคลทั่ว ๆ ไป พระปริตรที่หนึ่ง หรือว่าตำนานที่หนึ่งก็คือตำนานแห่งมงคลสูตร หรือพระปริตรคือมงคลสูตร มงคลสูตรก็คือพระสูตรอันได้แก่คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ท่านร้อยกรองเอาไว้ โดยที่นับถือเป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าเกี่ยวกับเรื่องมงคล จึงเรียกว่ามงคลสูตร โดยที่มีเรื่องแสดงเป็นตำนานหรือเป็นประวัติว่า ได้มีหมู่เทพหรือมนุษย์พากันคิดถึงว่าอะไรเป็นมงคล บางพวกก็ถือทิฎฐมงคล คือถือว่าสิ่งที่เห็นด้วยตาเป็นรูปต่าง ๆ รูปที่เห็นด้วยตานี้ ถ้าเป็นรูปเช่นนั้นๆ ก็เป็นมงคล จำพวกนี้เรียกว่าทิฎฐมงคล ก็แสดงยืนยันว่า ทิฎฐะ คือว่ารูปที่ตาเห็นซึ่งเป็นรูปอย่างนั้น ๆ ก็เป็นมงคล การเห็นรูปเช่นนั้น ๆ เป็นมงคล อีกจำพวกหนึ่งก็แสดงเสียงที่ได้ยินว่าถ้าเป็นเสียงอย่างนั้น ๆ เป็นมงคล ก็เรียกว่าสุตมงคล บางพวกก็ยึดถือกลิ่นที่จมูกได้ทราบ รสที่ลิ้นได้ทราบ โผฎฐัพพะคือสิ่งที่ถูกต้องทางกาย ที่กายได้ทราบว่า เมื่อเป็นกลิ่นเช่นนั้น ๆ เป็นรสเช่นนั้น ๆ เป็นสิ่งที่กายถูกต้องเช่นนั้น ๆ เป็นมงคล นี้เรียกว่ามุตมงคล โดยมาก็ทุ่มเถียงกันอยู่ในระหว่างผู้ที่ถือมงคลเหล่านี้ ใครเชื่อถืออย่างไรก็ยืนยันตามความเชื่อถือของตน ก็เป็นอันว่าไม่ยุติลง เทพดาตนหนึ่งจึงได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าขณะเมื่อประทับอยู่ที่พระเชตวันใกล้กรุงสาวัตถีเมื่อเวลายามหนึ่งล่วงไปแล้วก็ได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและก็กราบทูลถามว่า เทพและมนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ได้พากันคิดถึงมงคลทั้งหลาย จึงขอให้พระพุทธองค์ได้ตรัสบอกมงคลอันอุดมแก่เทพและมนุษย์ทั้งหลายผู้ปราถนาความสวัสดีดั่งนี้ พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสแสดงมงคลตอบปัญหาของเทวดา ดังที่ได้สวดกันว่า อเสวนา จ พาลา นํ เป็นต้น รวมเป็นพระคาถาที่แสดงมงคล ๑๐ คาถา และเป็นคาถาที่ตรัสสรุปอีกคาถาหนึ่งก็เป็น ๑๑ คาถา ชื่อว่าเป็นมงคลสูตร พระสูตรที่แสดงมงคลพระสูตรนี้ เป็นพระสูตรหลักสำคัญพระสูตรหนึ่งอันแสดงถึงมงคลทางพุทธศาสนา และแสดงถึงหลักพุทธศาสนาที่มุ่งสอนอย่างไร
คำว่ามงคลนี้ ท่านแสดงศัพท์ไว้ว่า เหตุที่ให้บรรลุถึงความเจริญ อันความเจริญรวมทั้งความสวัสดีต่าง ๆ ความเกษมสุขต่าง ๆ เข้าด้วย ย่อมเป็นที่มุ่งมาดปรารถนาของเทพและมนุษย์ทั้งหลายร่วมกันทั่วไป เพราะต่างก็ต้องการความเกษมสวัสดีความสุขความเจริญอยู่ด้วยกันทั้งนั้น และเมื่อเป็นดั่งนี้จึงพากันแสวงหาสิ่งที่จะเป็นเหตุนำให้บังเกิดความเกษมสวัสดี ความสุขความเจริญดังกล่าว และเมื่อมีความเชื่อถือว่าสิ่งอันใดจะนำให้บังเกิดผลที่ต้องการนั้น ๆ ก็ยึดถือว่าสิ่งอันนั้นเป็นมงคล และโดยมากก็มักจะไปยึดถือในสิ่งภายนอก เป็นรูปต่าง ๆที่ตาเห็นบ้าง เป็นเสียงต่าง ๆ ที่หูได้ยินบ้าง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นสิ่งถูกต้องทางกายต่าง ๆ บ้าง ว่าต้องเป็นรูปเช่นนั้น เป็นเสียงเช่นนั้น เป็นกลิ่นเป็นรสเป็นสิ่งที่ถูกต้องเช่นนั้นจึงจะเป็นมงคล ฉะนั้น ก็จำเป็นจะต้องเห็นรูปเช่นนั้น ต้องได้ยินเสียงเช่นนั้น ต้องได้กลิ่นได้รสได้ถูกต้องสิ่งเช่นนั้น ๆ จึงจะเป็นเหตุให้เกิดมงคล คือความเกษมสวัสดีความสุขความเจริญต่าง ๆ ก็มักจะไปยึดถือกันในมงคลภายนอก แต่ในพุทธศาสนาแสดงมงคลภายใน คือความประพฤติปฏิบัตินี้เอง ของแต่ละบุคคล เมื่อเป็นความประพฤติปฏิบัติที่ดีที่ชอบที่ถูกต้องอันเกี่ยวแก่ผู้อื่นบ้างเกี่ยวแก่ตนเองบ้าง เกี่ยวแก่ผู้อื่นก็ได้แก่เป็นการเกี่ยวแก่สังคม ที่เกี่ยวแก่ตนเองก็คือว่าเกี่ยวแก่ความประพฤติปฏิบัติของตนเอง อันเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องดีชอบทั้งที่เกี่ยวแก่ผู้อื่นทั้งที่เกี่ยวแก่ตนเอง ดังนี้จึงจะเป็นมงคล คือเหตุที่จะทำให้บรรลุถึงความเจริญ เป็นมงคลส่วนเหตุ และเมื่อปฏิบัติในมงคลส่วนเหตุดั่งนี้ จึงจะบรรลุถึงมงคลที่เป็นผลมีความสุขความเจริญ ความเกษมสวัสดีต่าง ๆ ตามที่ต้องการ และในข้อนี้พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงชี้ไว้ชัดเจนว่า ปฏิบัติอย่างไรบ้าง ทำอย่างไรบ้างจึงจะเป็นมงคล และก็เป็นมงคลอันอุดมคือสูงสุด
ในคาถาที่หนึ่งได้ตรัสไว้ว่า
อเสวนา จ พาลานํ การไม่เสพคือคบหาคนพาลทั้งหลาย ๑
ปณฺฑิตานญฺ จ เสวนา การเสพคือคบหาบัณฑิตทั้งหลาย ๑
ปูชา จ ปูชนียานํ การบูชาบุคคลผู้ควรบูชาทั้งหลาย ๑
เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ สามข้อนี้เป็นมงคลอันอุดมคือสูงสุด
เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงถึงเรื่องการเสวนา และการบูชาไว้เป็นอันดับแรก อันแสดงว่าการเสวนากับการบูชานั้นเป็นสิ่งสำคัญซึ่งทุกคนผู้มุ่งมงคลอันอุดมควรจะต้องไม่เสวนาคบหาคนพาลทั้งหลาย ควรจะเสวนาคบหาบัณฑิต ควรจะบูชาผู้ที่ควรบูชาทั้งหลายเท่านั้น อธิบายโดยสังเขปว่า คนพาลทั้งหลายนั้นก็คือคนประพฤติชั่ว ประพฤติผิดทางกาย ทางวาจา ทางใจ ได้ชื่อว่าเป็นพาล ที่แปลตามศัพท์ว่าผู้ตัดประโยชน์ทั้ง ๒ คือตัดประโยชน์ปัจจุบัน ตัดประโยชน์ภายหน้า หรือว่าผู้ที่โง่เขลาโดยที่ถือว่า ผู้ที่ประพฤติชั่วทางกายทางวาจาทางใจนั้นได้ชื่อว่าเป็นคนเขลาไม่ฉลาด เพราะว่าความประพฤติชั่วนั้นเป็นเหตุให้บังเกิดความทุกข์วิบัติต่าง ๆ เป็นบาปเป็นอกุศล เป็นโทษทั้งปัจจุบันทั้งภายหน้า ไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ประพฤติเช่นนั้นจึงไม่ชื่อว่าเป็นคนฉลาด แต่ชื่อว่าเป็นคนเขลา เป็นคนอ่อนปัญญา ทรามปัญญามีความเห็นผิด แม้จะร่ำเรียนมาเท่าใดก็ตาม จะมีตระกูลสูงต่ำอย่างไรก็ตาม จะมั่งมียากจนอย่างไรก็ตาม เมื่อประพฤติชั่วทางกาย ทางวาจา ทางใจ ก็ได้ชื่อว่าเป็นคนพาลทั้งนั้น ชื่อว่าเป็นคนเขลาทั้งนั้น ชื่อว่าเป็นคนปฏิบัติตัดประโยชน์ปัจจุบันด้วยประโยชน์ภายหน้าด้วยทั้งนั้น ผู้ที่มุ่งมงคลอันอุดมจึงไม่ควรคบคนชั่วเป็นมิตรสหาย ตลอดจนถึงไม่ควรจะคบให้เป็นครูบาอาจารย์เป็นต้น จึงได้ตรัสให้ไม่เสวนาคือไม่ให้ส้องเสพคบหากับคนพาลเป็นอันดับที่หนึ่ง
จากนั้นก็ตรัสสอนให้เสวนาส้องเสพคบหากับบัณฑิตทั้งหลาย บัณฑิตนั้นตรงกันข้าม ตามศัพท์ก็แปลว่าผู้มุ่งประโยชน์กิจด้วยปัญญา หมายถึงคนที่มีความประพฤติดีทางกายทางวาจาทางใจ คนที่ประพฤติดีทางกายทางวาจาทางใจนี้ ได้ชื่อว่าบัณฑิต ดำเนินประโยชน์กิจด้วยปัญญา เพราะสามารถถือเอาประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ภายหน้าไว้ได้ และได้ชื่อว่าเป็นคนมีปัญญา เป็นคนใช้ปัญญา ทำอะไรด้วยปัญญา ฉะนั้น ให้เข้าใจไว้ในขั้นนี้อีกอย่างหนึ่งว่า จะชื่อว่าเป็นบัณฑิตนั้นตัดสินด้วยผลคือเมื่อทำอะไรให้เกิดผลเป็นประโยชน์ปัจจุบัน เป็นประโยชน์ภายหน้าได้ ถือเอาประโยชน์ปัจจุบันประโยชน์ภายหน้าไว้ได้ ก็ได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต ชื่อว่าเป็นบัณฑิตนั้นจึงตัดสินด้วยผลคือที่เป็นประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ภายหน้า และจะบรรลุประโยชน์ปัจจะบันประโยชน์ภายหน้าได้ก็จะต้องมีปัญญาด้วย จะต้องมีความประพฤติดีถูกต้องด้วย คือประพฤติดีทางกายทางวาจาทางใจ และถูกต้องเหมาะสมต่อประโยชน์ที่จะพึงได้ในปัจจุบันและในภายหน้า จึงจะชื่อว่าเป็นบัณฑิต ก็ให้ส้องเสพสมาคมคบหากับบัณฑิต ตลอดจนคบหาบัณฑิตเป็นครูบาอาจารย์
มาถึงข้อที่ ๓ บูชาผู้ที่ควรบูชา คือผู้ที่ควรบูชาไหว้กราบสักการะต่าง ๆ ในทางพระพุทธศาสนาก็เช่น พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ท่านผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และในทางครอบครัวก็เช่นมารดาบิดา ครูบาอาจารย์ผู้ประสาทวิทยาทางโรงเรียน ทางประเทศชาติก็คือองค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม และผู้ที่ตั้งอยู่ในคุณงามความดีทั้งหลายเหล่านี้เป็นผู้ที่ควรบูชา รวมจนถึงผู้ที่ตนจะพึงนิยมชมชอบ นำให้เชื่อถือปฏิบัติเอาอย่างอีกด้วย ซึ่งในข้อนี้ก็เป็นข้อสำคัญ เพราะถ้าไปนิยมคนผิด ไปบูชาคนผิด ไปยกย่องคนผิด ไปนับถือคนผิด ก็จะทำให้เกิดโทษ เพราะการบูชายกย่องเคารพนับถือนั้นย่อมนำให้เกิดความเชื่อถือ คือปฏิบัติตามที่ผู้นั้น ๆ สั่งสอนแนะนำอีกด้วย หรืออย่างน้อยก็เอาเป็นตัวอย่างในอันที่จะปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้น ถ้าไปบูชาคนผิด นิยมคนผิดแล้วก็จะเกิดโทษมาก แต่ถ้าบูชาคนดีนิยมคนดี อันเป็นบุคคลที่ควรบูชาเคารพนับถือยกย่องก็ให้คุณ เพราะฉะนั้น การบูชาผู้ควรบูชา จึงเป็นมงคลอันสูงสุด เป็นข้อที่ ๓
อีกอันหนึ่งท่านสอนให้น้อมเข้ามาในตัวเอง คือว่าให้ดูตัวเองว่าเป็นพาลหรือเป็นบัณฑิต และทำตัวเองให้เป็นบัณฑิต เมื่อตัวเองเป็นบัณฑิตก็ชื่อว่าคบตัวเองที่เป็นบัณฑิต และก็ดูตัวเองว่าได้ประกอบด้วยคุณงามความดีต่าง ๆ ควรแก่สรรเสริญ ควรแก่เคารพบูชาหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะยังไม่อยู่ในฐานะที่เป็นผู้ได้รับการเคารพบูชาของใครมากนัก ก็เอาแต่เพียงว่า คนสรรเสริญหรือควรติ ควรนิยมหรือไม่ควรนิยม ถ้าหากว่าตัวเองนั้นทำตัวไม่ควรนิยม ทำตัวควรติ ก็อย่ามาหลงนับถือตัวเอง ต้องหมิ่นตัวเองว่า ตัวเองนั้นยังไม่ดี ต้องตั้งใจละส่วนที่ยังไม่ดีนั้น ปฏิบัติตัวเองให้ดีขึ้น ให้น่านิยมให้น่าสรรเสริญขึ้น เพื่อที่จะได้นับถือตัวเองได้ อันนี้สำคัญ อย่ามัวไปนับถืออย่างอื่นเท่านั้น ต้องดูตัวเองว่านับถือตัวเองได้ไหม ถ้าหากว่านับถือตัวเองไม่ได้แล้วใครจะมานับถือได้ ต้องให้ตัวเองนับถือตัวเองได้ด้วย ก็โดยที่ปฏิบัติละความเป็นพาลในตัวเองลงไป ปฏิบัติตัวเองให้เป็นบัณฑิต คือเป็นคนดีมีปัญญาขึ้นมา ท่านสอนอย่างนี้อีกด้วย เมื่อเป็นดั่งนี้ ก็เป็นเหตุให้บรรลุถึงมงคลอันอุดมคือสูงสุด
เพราะฉะนั้น คาถาทีแรกนี้จึงเป็นคาถาสำคัญมาก แม้เพียงคาถาเดียวก็นำไปปฏิบัติให้เกิดเป็นมงคล เป็นเหตุให้บรรลุถึงความเจริญอย่างสูงสุดได้เป็นอย่างดี
วันนี้ยุติเท่านี้