ปล่อยวางจึงพบสุข
คติธรรม เพื่อการหลุดพ้น ของพระมหาธรรมาจารย์ซินเต้า
แปลโดย Astro Neemo
อวตังสกะ โลกแห่งพระอริยะ
ตำนานแห่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตย์แห่งพระอริยะ ...................
“ณ.ดินแดนแห่งนี้ แต่โบราณขนานนามว่าเป็นพุทธเกษตร อริยะบุคคลล้วนสถิตย์อยู่ทุกแห่งหน”
เขาคิชกูฎ (ภาษาจีนเรียกว่าหลิงจิวซาน) หรือบางทีก็เรียกว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ตั้งอยู่บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย เนื่องจากลักษณะของยอดเขามีสัญฐานดั่งศีรษะนกแร้ง เขาลูกนี้จึงได้รับการขนานนามว่าคิชกูฎคีรี (ภูเขานกแร้ง)
ในอดีตสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มักจะทรงใช้สถานที่แห่งนี้ประกาศพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ และโดยเฉพาะทรงได้ แสดงพระสูตรสำคัญของฝ่ายมหายาน 2 พระสูตร ซึ่งสำคัญยิ่ง นั่นก็คือ สัทธรรมปุณฑริกสูตร (1) และปรัชญาปารมิตาสูตร(2) ซึ่งก็ทรงใช้สถานที่แห่งนี้แสดงพระสูตรเป็นครั้งแรก ในสมัยนั้นเองท้าวสหัมบดีพรหมผู้เป็นใหญ่ก็ได้เสด็จลงมาทำประทักษิณบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยนานาบุบผาชาติอันเป็นทิพย์ และอีกสมัยหนึ่ง ณ. ที่แห่งนี้พระพุทธองค์ก็ยังได้ทรงทำการแสดงธรรมลักษณ์ให้ปรากฏ โดยการชูดอกบัวขึ้นมาในมหาสมาคม เพื่อถ่ายทอดธรรมวิถีทางจิตซึ่งเป็นปฐมเหตุแห่งการสถาปนานิกายเซ็นนับแต่นั้น (3)
แม้ในอดีตกาล ก่อนพระพุทธองค์จะทรงอุบัติขึ้นในโลก สถานที่แห่งนี้ก็มักจะเป็นที่ที่ชุมนุมของเหล่าพระอริยะ และปราชญ์เมธีทั้งหลาย แม้ภายหลังเมื่อพระมหาโพธิสัตว์ทรงได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว บนเส้นทางแห่งการประกาศพระสัทธรรมของพระองค์ คิชกูฎมหาบรรพตแห่งนี้ก็นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการประกาศเผยแผ่พระสัทธรรมของฝ่ายมหายานที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง
ในสาธารณรัฐจีนไต้หวัน ด้านมุมทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองฟุหลง มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง ชื่อว่า “อินจื่อซาน “ แปลว่าเขาลูกนกอินทรีย์ ซึ่งเขาลูกนี้ท่านผู้เฒ่าผู้แก่ และผู้มีอายุทั้งหลายล้วนทราบกันดีว่าเป็นภูเขาแห่งความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ไม่ว่ามองจากทางไหนก็ล้วนมองเห็น ก้อนหินขนาดมหึมาอยู่บนยอดเขาที่มีรูปทรงคล้ายกับนกอินทรีย์ที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ปั้นแต่งขึ้น
แต่โบราณมา นอกจากลิง กวาง นก และสัตว์อื่นๆแล้ว น้อยนักที่จะพบเห็นผู้คนเข้าไปอยู่อาศัยบนเขาลูกนี้ได้ ก็เนื่องมาจากสถานที่แห่งนี้ได้มีพลังรังสีแห่งความศักดิ์สิทธิ์ปกคลุมอยู่ไปทั่ว ซึ่งเมื่อครั้งในอดีตบนยอดเขามักจะได้พบเห็น แสงรัสมีสีแดงเจิดจรัส พวยพุ่งออกมาอยู่บ่อยครั้ง แม้จนทุกวันนี้ก็ยังมีคนพบเห็นบอกเล่าให้ฟังกันอยู่
ในอดีตนับตั้งแต่ปลายสมัยราชวงศ์ชิง เป็นต้นมา อารามลัทธิเต๋าที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหลายต่างก็จะชี้แนะให้ไปทำการเซ่นสรวงบูชาเทพยดาฟ้าดินที่เขาอินทรีย์ลูกนี้อยู่เสมอๆ
เมื่อปี คศ. 1983 พระคุณเจ้าพระธรรมมาจารย์ซินเต้า (หฤทัยมรรค) ผู้ซึ่งเป็นที่เคารพยิ่ง ทำการจาริกธุดงค์ค้นหาสถานที่สัปปายะอันสงัดไปทั่วเกาะไต้หวันและแผ่นดินใหญ่ จนได้พบว่าภูเขาลูกนี้เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร สมาทานอรัญญิกธุดงควัตร (4) ขณะนั้นเขาลูกนี้ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “เขาเหล่าหลันซาน” และท่านได้พบว่าภูเขาลูกนี้มีภูมิลักษณะกับอีกภูมิทัศน์คล้ายคลึงกันอย่างยิ่งกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ คิชฌกูฎมหาบรรพตแห่งชมพูทวีป ประเทศอินเดีย ท่านจึงรู้สึกพอใจและยินดียิ่งนัก จึงได้ตั้งสัตยาฐิษฐาน แสดงมหากรุณาปณิธาณ ขออยู่จำพรรษาถาวร ณ. บนเขาลูกนี้ เพื่อบำเพ็ญสมณธรรมตามรอยพระบรมศาสดา เผยแผ่พระสัทธรรมแห่งปัญญาญาณ
คิชกูฎอริยคีรี นิรชาติ(ไร้ซึ่งการเกิด)ธรรมสถาน เพื่อเปิดประตูแห่งการโปรดเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ก็ได้เริ่มต้นจากสถานที่แห่งนี้ นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา