ความตาย เรื่องจริงที่ไม่มีใครอยากฟัง
ในบทปฎิบัติแห่งพุทธธรรมทุกวิถีล้วนแล้วแต่สรรเสริญความตายเป็นมหาสติ อุปมาดั่งรอยเท้าช้างเป็นใหญ่กว่ารอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายฉันใดก็ฉันนั้น คนเราเกิดมาล้วนต้องตายกันทุกๆคนนี่เป็นเรื่องจริงที่มักไม่ค่อยให้พูดถึง กัน เพราะในทางโลกบอกว่าเป็นสิ่งอัปมงคล แต่ในทางธรรมนั้นเป็นเพียงแค่สภาวะหนึ่งเท่านั้น แทบไม่มีความแตกต่างระหว่างความเป็นเลยแม้แต่น้อย เพราะเรานั้นตายกันทุกๆวินาทีกันเลยทีเดียว แต่เราไม่ประจักษ์เห็นเองต่างหาก เราก็เลยยึดแต่เพียงเห็นร่างกายที่หมดลมหายใจแล้วจึงนับว่าตายซึ่งก็ถูกต้อง อีกแบบหนึ่ง สิ่งที่ผมอยากอธิบายก็คือความตายแบบแรกก่อน
ความตายแบบแรกก็คือในระดับเซลล์ ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ผิวหนัก เซลล์เม็ดเลือด หรือสิ่งอื่นๆในระดับปรมาณูที่มันต้องตายกันทุกๆวินาทีแล้วก็เกิดใหม่ผลัด เปลี่ยนกันไปตามแรงขับเคลื่อนของพลังงานชีวิตที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง ที่นี้ลองมาดูในระดับใหญ่ขึ้น เราก็จะมองเห็นเล็บยาวขึ้น ผมยาวขึ้น กระดูกยืดขึ้น นั้นล้วนแล้วแต่เป็นปรากฏการณ์แห่งความตายทั้งสิ้น เพราะเมื่อเซลล์เหล่านี้ตายลง ทุกวันเซลล์ใหม่ก็เกิดขึ้นมาแทนที่และก็ดันสิ่งเหล่านั้นให้ยื่นออกมามาก ขึ้น ไม่ว่าผม ขน หนัง เล็บ ฯลฯ ทั้งนี้แสดงว่ามันเกิดมีการตายขึ้นเรื่อยๆมันก็เลยดันออกมาเรื่อยๆ แต่คนเราเข้าใจผิดคิดว่ามันงอกออกมา เจริญเติบโตออกมาใหม่ ซึ่งแท้จริงแล้วมันก็คือความตายในระดับเซลล์ต่างหาก
หากไม่เชื่อลองดูฟันของเราสิมันงอกออกมาเพิ่มใหม่หรือไม่หลังจากที่ฟัน แท้ได้หลุดออกไป ไม่มีเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าคุณจะอายุในรุ่นหนุ่มสาว นั่นก็คือมันหมดพลังแล้ว มันตายไปตั้งแต่แรกที่เราคิดว่ามันคือฟันแท้ได้เกิดขึ้น แล้วมันก็ตายอย่างสงบนิ่งภายในปากของเรา และแล้วกระดูกเหล่านั้นก็พร้อมที่จะแหลกสลายลงไปได้ทุกเมื่อ
ในทุกๆส่วนของร่างกายเรานี้มันเกิดขึ้นมาเพื่อที่จะตายสถานเดียวเท่านั้น และที่สำคัญมันไม่เคยต้องบอกเราว่ามันกำลังจะตาย เพราะมันได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องของมัน มันไม่เคยคิดว่ามันมีเจ้าของเลยแม้แต่น้อย มีแต่เรานั่นแหละที่คิดว่าเราเป็นเจ้าของมัน
จงจำไว้ให้ดีว่ายามใดที่เรากำลังตัดเล็บ โกนหนวด ตัดผม กันคิ้ว เพียงเพื่อความสวยงามนั้น ขอให้ตระหนักถึงความตายของเซลล์ต่างๆที่มันกำลังเกิดขึ้นในตัวเราในทุกๆขณะ มันย้ำเตือนเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพียงแต่เราไม่เคยตระหนักรู้
ยามใดที่ฟันของเรากำลังบดเคี้ยวอาหารที่ทำมาจากเลือดเนื้อและชีวิตของ สัตว์ทั้งหลายกันอย่างเอร็ดอร่อยนั้น ขอจงได้ไตร่ตรองดูสักนิดว่าชีวิตเรานี้ก็เช่นเดียวกันไม่แตกต่างกับแขนขาของ เป็ดไก่ที่อยู่ตรงหน้า กาลเวลาที่ผ่านไปก็กำลังบดเคี้ยวชีวิตของเราอย่างเมามันด้วยเช่นกัน
ในทุกๆครั้งที่เรากำลังกระพริบตา สายตาที่จดจ้องมองออกไปสู่โลกกว้าง เรามองเห็นต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวขจีที่อยู่ตรงหน้า ภาพที่สดใสทำให้เรารู้สึกดื่มด่ำและเบิกบาน แต่แท้ที่จริงมันก็คือภาพมายาแห่งความหลอกลวงที่กำลังจะหลอกล่อชีวิตเราไปใน ทุกๆขณะจิต เพราะอะไร ก็ภาพที่เรามองเห็นนั้นที่แท้จริงแล้วมันก็คือความถี่ของแสงที่แตกต่างกันจน เรามองเห็นเป็นสี และความเข้มอ่อนของแสงนั้นก็ทำให้เราเห็นเป็นมิติ ทั้งนี้มาจากสัญญาที่แปรความหมายของสมองที่สัมพันธ์กับคลองจักษุและระบบ ประสาทที่ละเอียดซับซ้อน ส่วนความรู้สึกดื่มด่ำมันก็คือการแปรความหมายจากจิตเจตสิกที่เกิดดับซับซ้อน ยิ่งกว่านั้น ลองสมมุติว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าเป็นความฝันสิ แล้วเราก็จะได้ตระหนักถึงความเป็นมายาของจิตที่ปรุงแต่งภาพนี้ออกมา แล้วมันเกี่ยวกับความตายตรงไหนกัน………..
ผมอยากจะอธิบายขยายความง่ายๆ คล้ายๆกับฟิลม์ภาพยนต์ เมื่อภาพที่มองเห็นอยู่ตรงหน้าเราในหนึ่งขณะจิตและเราก็กระพริบตา ภาพนั้นหายไปชั่วกระพริบตาแล้วกลับมาใหม่ แต่แท้จริงแล้วภาพนั้นมันได้ดับ(ตาย)ลงไปต่อหน้าในขณะนั้นเอง เมื่อภาพใหม่ปรากฏหลังจากกระพริบตาแล้ว มันก็คือภาพใหม่ที่เกิดขึ้นใหม่ เพราะภาพเก่าที่เรามองเห็นมันได้ตาย(ดับลง)ไปแล้ว หากยังไม่เข้าใจ สมมุติว่าเรากำลังเห็นคนกำลังยกมือขึ้น แล้ววางมือลง เราเห็นเห็นภาพต่อเนื่องก็คือคนหนึ่งกำลังยกมือขึ้นแล้ววางมือลง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น ความจริงภาพคนที่กำลังยกมือขึ้นมันได้ดับลงในขณะที่ยกมือขึ้นนั้นเอง มือมิได้เคลื่อนย้ายไปไหน แล้วภาพใหม่ที่ปรากฏก็คือภาพที่คนนั้นเอามือลง มันก็ดับอยู่ตรงนั้นเอง
หากเป็นฟิมล์หนังเราอาจจะเห็นภาพของการเกิดดับได้ชัดขึ้นอาจจะเป็น ๑๗ เฟรมต่อวินาที หรือ ๓๐ เฟรมต่อวินาที ในทุกเฟรมมันก็คือการเกิดดับของรูปในขณะนั้นๆเอง แต่เราเห็นรูปที่มันเกิดเคลื่อนไหวต่อเนื่องก็เพราะเราเห็นอายุของมันหรือ สันสติ(ความสืบต่อของมัน) เราไม่เห็นการเกิดดับของมันในทุกๆขณะจิต เราก็นึกว่ารูปมันเที่ยง มันย้ายจากตรงนั้นไปอยู่ตรงนี้ เห็นการสืบต่อของมัน แต่ไม่เห็นการเกิดดับของมัน
หากเราฝึกพิจารณาอย่างนี้แล้ว เท่ากับเราเห็นการเกิดดับหรือการเกิดตายของ นาม รูป อย่างง่ายๆได้แล้ว และก็เป็นการฝึกวิปัสนากรรมฐานในชีวิตประจำวัน วิปัสนาญาณก็จะเกิดแก่กล้าขึ้นตามลำดับ
ขอจงตระหนักรู้ในความจริงข้อนี้เถิด
ขออนุโมทนา
Astro Neemo 23:33 PM