การศึกษาวิชาโหราศาสตร์ นอกจากจะทำให้เราคิดได้หลายแง่มุมแล้ว ยังทำให้รู้ว่าเวลาใดควรทำอะไร และไม่ควรทำอะไร รู้จักรอคอยจังหวะ และโอกาส ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่หลงไปกับสิ่งยั่วยุรอบข้าง ไม่เชื่อใครง่าย รู้จักใช้เหตุและผล และรู้จักยับยั้งชั่งใจ ในสมัยก่อน นักปกครอง แม่ทัพ แม้แต่พระเจ้าแผ่นดินยังต้องเรียนวิชานี้ เพราะเป็น 1 ในศิลปศาสตร์ 18 ประการที่ต้องเรียน
พระเจ้าแผ่นดินและแม่ทัพ นักปกครองในสมัยก่อน เรียนไปก็ไม่ใช่เอาไปดูดวงให้ชาวบ้าน แต่เป็นการฝึกสมอง สอนวิธีคิด สอนให้รู้จักแยกแยะ สอนให้มีความสุขุมคัมภีรภาพ และสร้างเสริมเชาว์ปัญญา ลองดูครูอาจารย์ทางโหร แต่ละท่านอายุมากๆ แต่สมองยังดีเฉียบคม เหมือนคนหนุ่มๆ และไม่เป็นอัลไซเมอร์ด้วย
การศึกษาวิชาโหราศาสตร์ นอกจากจะทำให้เพิ่มศักยภาพของสมองแล้ว ยังสอนให้สมองรู้จักนึกคิด รู้จักสร้างจิตนาการ รู้จักใช้สมการ และแก้สมการ
ทฤษฎีของโหราศาสตร์อยู่บนพื้นฐานของโหราคณิตศาสตร์ เช่น แคลคูลัส ตรีโกณมิติ และพีชคณิต เป็นสาขาหนึ่งในสามสาขาหลักในทางคณิตศาสตร์ ร่วมกับเรขาคณิต และ การวิเคราะห์ (analysis) พีชคณิตเป็นการศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้าง ความสัมพันธ์ และจำนวน พีชคณิตและรวมไปถึงการศึกษาสัญลักษณ์ ตัวแปร และเซ็ต(คณิตศาสตร์เชิงนามธรรม) นอกจากนี้ยังรวมถึงตรรกศาสตร์ คือ การศึกษาเชิงปรัชญาว่าด้วยการให้เหตุผล อภิปรัชญา ปรัชญาสางขยะ ทวิลักษณ์ เวทานตะ ธรรมศาสตร์ อรรถศาสตร์ และคัมภีร์พระเวท
อย่างที่เคยบอกว่า ดูดวงๆหนึ่ง นอกจากจะต้องดูระยะเชิงมุม จากลัคน์ 1 ดาวเคราะห์ทั้ง 7 อุปเคราะห์อีก 2 รวม 10 คูณ 12 ราศี เท่ากับต้องดู 120 ระยะเชิงมุม แต่หากดูลึกลงไปอีกในระดับคือ 36 ตรียางค์ เท่ากับ 120*36 = 4320 เชิงมุมและหากดูลึกถึงไส้ชาตาคือนวางศ์จักร ซึ่งมี 108 ลูกนวางศ์ ก็จะเป็น 4320*108 = 466,560 ระยะเชิงมุมหรือเรียกว่าทรรศนสัมพันธ์ ระหว่างดาวเคราะห์และราศี ซึ่งดวงๆหนึ่งโหรผู้เชี่ยวชาญมองปราดเดียวก็จะเห็นความสัมพันธ์ได้ทั้งหมด
โหรทำได้อย่างไร คือตอบคือ หากเรียนวิชาโหรลำดับทีละขั้นตอน ทฤษฎีของโหราวิทยา ก็จะสร้างระบบ logical diagram (แผนภูมิตรรกะ)ให้กับสมองทีละน้อยๆ จนสมองสามารถสร้างระบบความสัมพันธ์ของระยะเชิงมุมต่างๆได้เป็นแผนภูมิตรรกะแบบ 3มิติ
หากคนที่ไม่ได้เรียนโหรเห็นรูปดวงชาตา ก็จะเห็นเป็นเพียงกระดาษ 2มิติแผ่นเดียว แต่สมองของโหรกลับมองอีกแบบกลายเป็นภาพ 3 มิติซ้อนกันเป็นชั้นๆ มุมรังสีของดวงดาวสัมพันธ์กันอย่างสลับซับซ้อน
ตัวอย่างเช่น ดวงนวางศ์จักร ก็คือระบบจานรังสีซ้อนกัน 9 ชั้น ทั้งนี้เป็นการมองเพียงปราดเดียวเท่านั้น
จนสุดท้ายระบบ logical diagram ในสมองก็จะคัดกรองทรรศนสัมพันธ์ระยะเชิงมุมให้เหลือจนน้อยที่สุด เข้มข้นที่สุด เพียงไม่กี่ตำแหน่ง เพื่อให้โหรสามารถนำมาวินิจฉัย และนำมาใช้พยากรณ์ได้
การศึกษาวิชาโหราศาสตร์ วิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยผลกรรมของมนุษย์ทั้งปัจจุบันชาติ (กรรมใหม่) และอดีตชาติ (กรรมเก่า) โดยมีดวงดาว ราศี นักษัตรฤกษ์เป็นตัวชี้วัดตัดสิน จะเรียกดวงชาตาว่าเป็นแผนที่กรรมก็ได้ ซึ่งเรื่องเหตุต้นผลกรรมเป็นความเชื่อมาแต่โบราณตั้งแต่ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาเชน ฯลฯ และสอดคล้องกับกรรมในทางพุทธศาสนา
ทฤษฎีและสมการทางโหราศาสตร์ถือว่า ดวงดาว ราศีและนักษัตรล้วนแล้วแต่มีรังสีและอิทธิพลต่อโลกและจักรวาล รวมถึง ความนึกคิดจิตใจของมนุษย์และสัตว์ ตลอดจนแม้วัตถุ ธาตุต่างๆในสากลพิภพ
ในขณะหนึ่งๆ หรือวินาทีหนึ่ง กระแสบรรยากาศของโลกย่อมได้รับพลังรังสีจากดวงดาวเบื้องบนฟากฟ้าตลอดเวลาทุกๆวินาที มีการเปลี่ยนแปรและผสมผสานกันกลายเป็นพลังขับคลื่อนสรรพสิ่งต่างๆในโลกใบนี้
ดังนั้นเมื่อสัตว์ไปจนถึงมนุษย์ถือกำเนิดมาในขณะใด ก็ย่อมได้รับพลังรังสีของดวงดาวต่างๆในขณะนั้นๆ ผสานเข้าไปในลมหายใจ(ปราณ)จนกลายเป็นดวงชาตากำเนิด ใครทำกรรมดีมาย่อมถือกำเนิดในฤกษ์ดี มีดวงดาวโคจรสถิตในตำแหน่งดี ผลย่อมกลายเป็นคนดวงดี มียศศักดิ์ ลาภยศ ชื่อเสียงเงินทอง และจะได้รับผลดีดังกล่าวไปตามลำดับการเสวยอายุของดวงดาวแต่ละดวงในดวงชาตา
แต่หากใครเคยทำกรรมชั่วมาเกิด ผลย่อมตรงกันข้าม ก็จะเกิดในฤกษ์ร้าย ดาวเคราะห์ในดวงชาตาอยู่ในตำแหน่งเสีย ผลก็จะกลายเป็นคนทุกข์ยาก อนาถา ยากจน เป็นโจร ขอทาน หรือ ไปสู่ความตกต่ำอื่นๆ และจะได้รับผลร้ายดังกล่าวไปตามลำดับการเสวยอายุของดวงดาวแต่ละดวงในดวงชาตา
หรือหากทำบุญผสมปาป ก็จะได้ถือกำเนิดในขณะที่ดาวเคราะห์ โคจรไปทางดีและร้าย
เมื่อทารกคลอดจากครรภ์มารดาในขณะใด และในขณะเดียวกันนั้นบนฟากฟ้าดวงดาวมีการโคจรอย่างไร ก็จะถูกนำมาคำนวนเป็นดวงชาตากำเนิด หรือเรียกว่า “ผูกดวง” และนำมาใช้พยากรณ์ ไปทั้งชีวิต
อย่างไรก็ตาม อิทธิพลรังสีของดวงดาวที่มีต่อชาตาชีวิตถูกแบ่งเป็นช่วง 2 ช่วง
1. ช่วงปฏิสนธิ และอยู่ในครรภ์ ในขณะที่ทารกปฏิสนธิก็จะได้รับรังสีจากดาวเคราะห์ผ่านปราณ(ลมหายใจ)ของบิดามารดา รวมถึงพีชะ (ยีน)รหัสพันธุกรรมของทั้งฝ่ายบิดา-มารดา ช่วงนี้จะกำหนด เพศ ผิวพรรณ รูปร่างหน้าตา อวัยวะและความสมบูรณ์ของทารก ในโหราศาสตร์จีนและแพทย์แผนจีนจะเรียกช่วงอยู่ในครรภ์มารดาว่า (ภูมิก่อนฟ้า-先天) ซึ่งในช่วงปฏิสนธินี้ถือว่าเป็นกรรมนำแต่งให้ผล 100 เปอร์เซ็นต์แก้ไขไม่ได้เลย เช่น เด็กในครรภ์พิการมาแต่กำเนิด หรือสีผิวพรรณ เพศ ฯลฯ ล้วนแต่ถูกกำหนดมา
2. ช่วงถือกำเนิด หรือ คลอดออกมาจากครรภ์มารดา ซึ่งสำคัญมากและดวงชาตากำเนิดนับจากจุดนี้ ซึ่งหากทารกถือกำเนิดในฤกษ์ใด หรือดาวเคราะห์โคจรสถิตในราศีใด ชาตาชีวิตก็จะเป็นไปตามลิขิตของดวงดาวในขณะที่เกิดนั้น ซึ่งอิทธิในช่วงนี้จะกำหนด ชาตาชีวิต สูง-ต่ำ อารมณ์ ความสามารถ สติปัญญา ตำแหน่งและฐานะ ครอบครัว ฯลฯ ตลอดจนอายุขัยของคนๆนั้น ในโหราศาสตร์จีนและแพทย์แผนจีนจะเรียกช่วงคลอดออกจากครรภ์มารดาว่า (ภูมิหลังฟ้า-后天) ช่วงที่ 2 นี้เรียกว่าดวงชาตา ที่เรานำมาทำนายกัน
มีคำถามว่าดวงชาตาถูกลิขิตมาแล้ว แก้ไม่ได้จริงหรือไม่ ?
หากแก้ไขไม่ได้แล้วจะเรียนรู้โหราศาสตร์ไปทำไม ? เมื่อโหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่บ่งชี้กรรมดี-ชั่วที่เราจะได้เสวยผลวิบากในชาตินี้ แล้วหากเราเปลี่ยนหรือสร้างกรรมใหม่ จะลดล้างกรรมเก่าในดวงชาตาได้หรือไม่ ?
คำตอบก็คือ ดวงกำเนิดบางคนถูกอิทธิพลของดวงชาตาครอบงำ 100 เปอร์เซ็นต์แบบแก้ไขอะไรไม่ได้ เช่นเกิดมาพิการ บ้าใบ้ ปัญญาอ่อน
แต่บางคนก็มีสัดส่วนอิทธิพลกรรมเก่าและกรรมใหม่ในดวงชาตาแตกต่างกันไป บางคน 100 เปอร์เซ็นต์ ,บางคน 70/30 บางคน 80/20 บางคน 50/50 เช่น บางคนถูกกรรมเก่าครอบงำมาเต็มที่ว่าจะต้องเป็นโจร เวลาเกิดดวงดวงก็ชี้บ่งว่าจะต้องเป็นโจร เกิดมาก็จะกลายเป็นชอบลักเล็กขโมยน้อยมาแต่เล็ก ชอบอยากได้ของคนอื่น ฯลฯ สุดท้ายก็กลายเป็นโจรตามดวงชาตา
แต่บางคนดวงชาตาถูกลิขิตมาให้เป็นคนยากจน 70 เปอร์เซ็นต์ อีก 30 เปอร์เซ็นต์เราก็แก้ได้ เมื่อเรารู้ดวงเราก็พยามแก้ดวงดวง โดยการขยันทำมาหากิน หมั่นเก็บเล็กผสมน้อย จนกลายเป็นมีฐานะพออยู่พอกินก็พ้นจากความยากจนไปได้
บางคนดวงชาตาลิขิตให้รวย 70 เปอร์เซ็นต์ อีก 30 เปอร์เซ็นต์เราอาจะเพิ่มความร่ำรวยให้มากขึ้นได้ โดยขยันทำมาหากิน แต่หากเราคิดว่ารวยแล้วไม่ยอมสร้างกรรม(ดี)ใหม่ ดวงชาตาก็จะให้รวยแค่ช่วงใดช่วงหนึ่งในชีวิตแค่นั้น
สรุปการแก้ดวงชาตา แต่โบราณมามีมากมายหลากหลายวิธี เช่น เซ่นสรวงบูชา ทำพิธีเคราะห์ศานติ สะเดาเคราะห์ แต่วิถีแนวพุทธ คือการสร้างกรรมดีใหม่ สั่งสมบุญกุศลนั้นได้ผลมากที่สุด