การแก้ดวง เปลี่ยนชะตา ทำได้จริงหรือไม่ คำถามนี้เป็นคำถามที่ถกเถียงกันมานาน นับพันๆปีแล้ว ก่อนอื่นต้องรู้ก่อนว่า ดวงชะตาจะดีหรือร้าย จะสูงหรือต่ำนั้นเกิดจากอะไร ใครเป็นคนกำหนด หรือพระพรหมลิขิตเอาไว้ ให้เราต้องเดินตามเส้นทาง ที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า เส้นทาง ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม หรือ โรยด้วยกลีบกุหลาบ โดยไม่มีเหตุผลกระนั้นหรือ
จริงๆแล้วงดวงชะตานั้นก็คือ"แผนที่"ของกรรม ที่จักต้องเสวยผลกรรมในชาตินี้ ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว สลับสับเปลี่ยนกันไปทั้งชีวิต ซึ่งในที่นี้ถือว่า กรรม หรือ การกระทำของเราเองนั่นแหละทั้งในอดีตชาติ(กรรมเก่า) ปัจจุบันชาติ(กรรมใหม่) ล้วนเป็นผู้กำหนดดวงชะตาของเราในชาตินี้
แต่การกำหนดผลกรรมที่ก่อให้เกิดเป็นดวงชะตานั้น ในแต่ละคนมีสัดส่วนไม่เท่ากัน บางคนถูกกรรมเก่า และกรรมใหม่ กำหนด 50/50 บางคน 30/70 บางคน 40/60 หรือบางคนถูกกรรมเก่ากำหมดเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ก็มี ตัวอย่างเช่น เด็กที่เกิดมาพิการซ้ำซ้อน นี่ถือว่ากรรมเก่ากำหนดมาจนแทบไม่มีโอกาสให้สร้างกรรมใหม่หรือได้เสวยผลกรรมดีอื่นได้เลย
เพราะกรรมเก่าที่กำหนดดวงชะตานั้นส่วนมากจะให้ผลตอนถือปฏิสนธิเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งตรงนี้นักพยากรณ์ดวงชะตาทั่วไปไม่สามารถรู้ได้ เว้นแต่จะทราบเวลาที่แน่นอนที่บิดา มารดา ร่วมสังวาสกัน (กามพฤติ-นิเษกะ)ซึ่งอินเดียโบราณมักใช้ดวงประเภทนี้ กำหนดเวลาหรือฤกษ์ยามที่ดีให้ชาย-หญิงร่วมสังวาสกัน เพื่อกำหนดดวงชะตาและการพัฒนาการของทารก ตั้งแต่เดือนแรกที่ตั้งครรภ์จนถึงสามารถกำหนด เพศ วัน เดือน และเวลาที่จะคลอดได้อย่างแม่นยำ
ซึ่งสามารถกำหนดดวงชะตาหลังคลอดได้เกือบทั้งชีวิต ทั้งรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ ความชำนาญ อุปนิสัย ความเฉลียวฉลาด ความมั่งคั่ง ยศศักดิ์ อายุ ภรรยา รวมไปถึงการมี บุตรหลาน ฯลฯ ซึ่งทางโหราศาสตร์ภารตะเรียกดวงประเภทนี้ว่า "อาธานะกุณฑลิจักร" ประเทศอินเดียในปัจจุบันก็ยังมีการทำวิธีนี้อยู่ แต่ครูบาอาจารย์ที่ทำได้คงเหลือน้อยเต็มที
ดังนั้นเราจะต้องรู้ว่า ดวงชะตาจริงๆนั้น เกิดขึ้นตอนปฏิสนธิ ที่บิดา-มารดาสังวาสกัน(กามพฤติ) ซึ่งโหรจีนก็มีคำศัพท์เฉพาะเรียกว่าดวงก่อนเกิด หรือดวงก่อนฟ้า 先天 ส่วนดวงชะตาที่เรามักนำมาใช้กันในตอนพยากรณ์ดวงชะตาตอนคลอดออกมาเป็นทารก โดยใช้วันเดือนปีเกิด และเวลาตกฟากในการตั้งดวงชะตาขึ้นมา ก็เป็นดวงอีกแบบหนึ่งซึ่งโหรจีนก็มีคำศัพท์เฉพาะเรียกว่าดวงหลังเกิด หรือดวงหลังฟ้า 后天
ซึ่งทั้งหมดก็สามารถนำมาใช้พยากรณ์ได้ในมิติที่แตกต่างกัน แต่อันแรกเป็นการกำหนดดวงชะตา เวลาที่บิดา-มารดาร่วมสังวาสกัน(กามพฤติ) โดยมีวันเวลาที่ไม่แน่นอน ซึ่งก็เป็นไปตามความพอใจของทั้งสองฝ่าย หรือถูกโหรกำหนดเวลาให้ จนเกิดการปฏิสนธิขึ้นมา ซึ่งทางพุทธศาสนาเรียกว่า ชนกกรรม (กรรมแต่งให้เกิด, กรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด) ซึ่งสืบต่อมาจากจุติจิตและปฏิสนธิจิต ส่วนอันหลังเป็นดวงชะตาที่ถูกกำหนดมาแล้วจากเหตุอันแรก ซึ่งทางพุทธศาสนารียกว่า อุปัตถัมภกกรรม (กรรมสนับสนุน, กรรมที่เข้าช่วยสนับสนุนหรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม)
เมื่อดวงชะตานั้นเกิดแต่กรรม มีกรรมเป็นประธานในการให้ผล เราเป็นทายาทของกรรม แต่กรรมใดจะให้ผลเมื่อใด โหรก็ย่อมรู้ว่าดาวใดเป็นดาวให้ผลดีผลร้าย และเมื่อดาวดีเสวยอายุในดวงชะตาในปีใด อายุเท่าใดเมื่อนั้นก็แสดงว่ากรรมดีกำลังให้ผล หากดาวร้ายเสวยอายุผลก็กลับเป็นตรงข้าม
แต่ในขณะที่ดาวดีกำลังเสวยอายุในมหาทศา และดาวดีเสวยแทรกในอนุทศาเจ้าชะตาก็จะย่อมได้รับผลดีอย่างเต็มที่ แต่หากมีดาวร้ายเสวยแทรก ผลดีที่จะได้รับก็จะย่อมถูกลดทอนลงไป สำหรับดาวร้ายเสวยอายุแต่มีดาวดีมาเสวยแทรก ผลร้ายก็ย่อมลดทอนลงไปเช่นเดียวกัน
ซึ่งทางพุทธศาสนาเรียกว่า อุปปีฬกกรรม (กรรมบีบคั้น, กรรมที่มาให้ผล บีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมนั้น ให้แปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บั่นทอนวิบากมิให้เป็นไปได้นาน) และ อุปฆาตกกรรม (กรรมตัดรอน, กรรมที่แรง ฝ่ายตรงข้ามกับชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรม เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรมสองอย่างนั้น ให้ขาดไปเสียทีเดียว เช่น เกิดในตระกูลสูง มั่งคั่ง แต่อายุสั้น เป็นต้น
ซึ่งสามารถพยากรณ์กรรมที่ต้องเสวยผลในชาตินี้ หรือทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในปัจจุบันคือในภพนี้)โดยดูจากดวงชะตา ว่าจะดี-ร้าย จะเสวยสุขหรือทุกข์ได้จากดวงดาวต่างๆทั้งดาวเดิม ดาวจร และดาวเสวยอายุ
ดังนั้นแต่โบราณจึงมีวิธีการแก้เคราะห์ สะเดาะชะตา กันมากมายหลายวิธีการไม่ว่าจะเป็น เซ่นสรวงบูชา เทพเทวดาต่างๆ เทพประจำดาวเคราะห์ต่างๆ (ครหศานติ) หรือถือวรัต(อดอาหาร) หรือ ทำบุญกุศล บริจาคทาน ต่างๆ มากมายหลายวิธีการ ซึ่งบางครั้งก็ได้ผลดี แต่บางครั้งก็ไม่ได้ผล ขึ้นอยู่กับความแรงของชนิดของกรรม และกรรมเก่าผสมกับกรรมใหม่ที่กระทำในชาตินี้
ลัทธิในอดีตล้วนเชื่อว่าเป็นพระเจ้าลิขิตบ้าง พรหมลิขิตบ้าง เป็นกรรมเก่าบ้าง ที่ทำในอดีตชาติเป็นตัวส่งผลให้เสวยสุขทุกข์ในปัจจุบันชาติ แต่พุทธศาสนากลับสอนให้เชื่อกรรมใหม่ ที่ได้กระทำในชาตินี้ เป็นหลักในการเปลี่ยนดวงชะตา และได้ผลจริงเต็มร้อย
บุคคลใดซึ่งหากปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนา พัฒนาภูมิจิต ภูมิธรรม ให้เจริญขึ้น ให้สูงขึ้น ก็จะกลายเป็นคนเหนือดวง สามารถเปลี่ยนแปลงดวงชะตาได้เกือบทั้งหมด เช่น พระภิกษุ หรืออุบาสก อุบาสิกาที่ปฏิบัติธรรมอย่างเข้มงวด เป็นต้น ซึ่งคนกลุ่มนี้ โหรไม่สามารถพยากรณ์ดวงชะตาได้เลย
เช่น หากเป็นพระภิกษุที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ก็จะเปลี่ยนดวงชะตาได้ทั้งหมด เพราะโหราศาสตร์เอาไว้สำหรับพยากรณ์ผู้ครองเรือนเท่านั้น ที่ต้องการ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่สำหรับผู้ออกจากเรือน บวชเป็น บรรพชิต ล้วนแต่สละลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
หากโหรจะทำนายว่าท่านจะได้ลาภ ยศ ทรัพย์สิน เงินทอง ฯลฯ ก็ไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้ เพราะท่านได้สละไปหมดแล้วดังนั้นหากชีวิตได้ถูกกำหนดมาแล้ว การบำเพ็ญตนเพื่อชีวิตพรหมจรรย์(ชีวิตที่ประเสริฐ) รวมไปถึงการสละละกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานก็ย่อมมีไม่ได้