Website แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ให้บริการฤกษ์ยามชั้นสูงของโหราศาสตร์ภารตะจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ และได้ผลตอบรับดีสูงสุดเป็นปีที่ 15 แล้ว WebSite ของเราให้การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากยุโรป "SiteGuarding" บริการดูฮวงจุ้ย แก้ฮวงจุ้ย เสริมฮวงจุ้ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี***

Mor Du Web

เพราะปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 คือสังฆรัตนะที่เกิดขึ้นครั้งแรกในโลก เป็นพระอรหันต์ ล้วนเคยเป็นหมอดู หรือโหราจารย์ เชี่ยวชาญในไตรเพทมาก่อน อาชีพหมอดู หรือ โหร เป็นสัมมาอาชีพ ที่ได้รับการเคารพอย่างสูงจากมหาชน หากใช้หลักวิชาที่ถูกต้อง และไม่บิดเบือนหลักวิชาหรือหลอกลวงคนเพื่อแสวงหาประโยชน์ ก็ย่อมได้สวรรค์ นิพพาน เป็นที่ไปไม่ตกนรกแน่นอน

เรื่องมีอยู่ว่า ครั้นครบกำหนด ๕ วัน แห่งการประสูติ พระเจ้าสุทโธทนะจึงสั่งให้ประชุมเหล่านักปราชญ์ราชบัณฑิต และเชิญพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญไตรเพท ๑๐๘ คน มาเลี้ยงอาหารในพระราชวัง

แล้วให้คัดเลือกพราหมณาจารย์ผู้ทรงคุณวิทยาประเสริฐกว่าพราหมณ์ทั้งปวงจำนวน ๘ คน เพื่อถวายคำทำนายลักษณะของพระราชกุมาร

พราหมณ์ทั้ง ๘ ที่เป็นมหาโหราจารย์ได้รับการคัดเลือกนั้น คือ 1.รามะพราหมณ์ 2.ลักขณะพราหมณ์ 3.มันตีพราหมณ์ 4.ธชะพราหมณ์ 5.โภชะพราหมณ์ 6.สุทัตตะพราหมณ์ 7.สยามะพราหมณ์ 8.โกณฑัญญะพราหมณ์

ซึ่งพราหมณ์ทั้ง 7 ท่านแรกเป็นผู้มีอายุมาก มีประสบการณ์มาก มี ก็รู้อยู่แล้วว่าพระกุมารจะต้องออกบวช แต่จำเป็นต้องทำนายเป็น 2 อย่างเพื่อมิให้พระเจ้าสุโทธนะเสียพระทัย อาจจะทำลายชีวิตพระกุมารได้ เพราะทำให้เสื่อมเสียวงศ์ตระกูลที่สูงส่ง

ส่วนโกณฑัญญะพราหมณ์ เป็นพราหมณ์หนุ่มประสบการณ์น้อย มีทิฐิมานะสูง อาจจะเป็นลูกหลานของพราหมณ์ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ได้รับสืบทอดวิชามาเต็มที่ จึงได้รับคัดเลือก เข้ามาร่วมพยากรณ์กับพราหมณ์ผู้เฒ่าทั้ง 7 ก็เลยแสดงความสามารถในการพยากรณ์ อย่างไม่ลังเลถึงผลกระทบที่ตามมา โดยพยากรณ์ว่าจะต้องออกบวชสถานเดียว

สุดท้ายพราหมณ์ทั้ง 7 ที่เหลือก็เลยออกอุบายให้สร้างปราสาท 3 ฤดูให้พระกุมาร และห้ามให้พระกุมารเห็นคนเกิด แก่ เจ็บ ตาย หรือ สมณะ จนกว่าอายุจะพ้น 30 ปี

พอพราหมณ์ทั้ง 7 กลับบ้านก็รีบบอกลูกบอกหลานให้รอเวลาที่จะเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารออกบวช หากออกบวชเมื่อใดก็ให้รีบตามไปบวชทันทีเพราะตนเองคงอยู่ไม่ถึง

นี่แสดงว่าพราหมณ์ทั้ง 7 รู้ดีอยู่แล้ว ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดังนั้น ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 คือ พระอัญญาโกญฑัญญะที่เผ้ารอคอยมาเกือบ 30 ปี ส่วนที่เหลือ 4 องค์คือ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ล้วนแต่เป็นลูกหลานของพราหมณ์ทั้ง 7 ที่สั่งเสียเอาไว้นั่นเอง

แล้วปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ก็เฝ้าติดตามดูแล อุปัฏฐากพระมหาโพธิสัตว์มาตลอด 6 ปี ตั้งแต่อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ได้มาจากไหน โปรดอย่าลืมว่า ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เป็นพราหมณ์ ซึ่งพราหมณ์ธรรมดาจะไม่เที่ยวบิณฑบาตรขอเศษอาหารจากชาวบ้านเป็นอันขาด

แต่ปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 เป็นพราหมณ์ชั้นสูง ย่อมทำอาชีพบวงสรวง บูชา พยากรณ์ เป็นอาชีพ และได้รับการเชื้อเชิญ การถวายอาหาร และปัจจัย 4 จากชาวบ้าน มาอุปัฏฐากพระมหาโพธิสัตว์

และนี่คือคุณูปการอันหนึ่งของวิชาชีพโหร ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในช่วยการบำเพ็ญธรรมของพระมหาโพธิสัตว์ จนได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ดังนั้นใครจะว่ามีอาชีพเป็นหมอดูแล้วจะตกนรก ปิดกั้นทางมรรคผลนิพพาน ก็ไม่ต้องไปสนใจ เพราะประจักษ์พยานยังมีให้เห็นคือ บุคคลที่บรรลุธรรมครั้งแรกในโลก และพระสังฆรัตนะเกิดขึ้นครั้งแรกในโลก ก็เกิดจากบุคคลที่มีอาชีพโหร หรือหมอดู ก็คือ กลุ่มปัญจวัคคีย์ทั้ง 5

นอกจากนี้แล้วยังมีพุทธานุญาตให้ภิกษุเรียนวิชาโหราศาสตร์(วิชาโชยติษศาสตร์)ได้ ตามความสามารถเท่าที่่จะเรียนได้ หรือการคำนวณนักษัตรบท (บาทของนักษัตรทั้ง 27) ก็เป็นการแสดงว่าเรียนจนถึงวิชาโหราศาสตร์ขั้นสูง

**ตามการแปลของพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย “นักษัตรบท” ท่านแปลว่า “ทางเดินของนักษัตร” จริงๆแล้ว ก็คือ “นักษัตรบาท” คือส่วนของนักษัตร ที่แบ่งออกเป็น 4 บาทหรือ 4 ส่วน (ความเห็นส่วนตัว) ซึ่งโหรทุกท่านก็รู้ดีอยู่แล้ว  

มีเหตุว่าภิกษุไปอยู่ป่า แล้วโจรไปถามว่าวันนี้ดิถีขึ้นแรมกี่คำ จันทร์เสวยนักษัตรอะไร ภิกษุตอบไม่ได้ เพราะวิชาพวกนี้ปกตินักบวช ปริพาชก พราหมณ์ ย่อมรู้ดี แต่ภิกษุไม่ได้เรียนรู้ก็ตอบไม่ได้

โจรก็นึกว่าภิกษุเป็นสายลับของทางการ ก็เลยทุบตีทำร้ายภิกษุจนบาดเจ็บสาหัส

ความทราบถึงพระศาสดาก็เลยมีพุทธานุญาตให้เรียนวิชาโชยติษศาสตร์ หรือ วิชาโหราศาสตร์นั่นเอง

ในพจนานุกรม คำว่า-โชฺยติษ:

(คำวิเศษณ์) อันกล่าวถึงดาว; astrological, astronomical, relating of the heavenly bodies; –

(คำนาม) โหร; คณก, องกวิทยาชญ์; ดาราศาสตร์, นักษัตรศาสตร์; ดาว, ดาวพระเคราะห์, นักษัตร, ดารา; an astrologer; an arithmetician; astronomy, astrology; a star, a planet, an asterism.

ซึ่งวิชาโชฺยติษศาสตร์ก็คือรากฐานของวิชาดาราศาสตร์ในสมัยปัจจุบันนั่นเอง อีกทั้งเป็นอังคะหรือส่วนหนึ่งของคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์ และได้รับการยกย่องว่าเป็น จักษุหรือดวงตาของคัมภีร์พระเวท ซึ่งพราหมณ์ที่เชี่ยวชาญในไตรเพทต้องเรียนรู้ ซึ่งวิชาแบ่งออกเป็นหลายส่วน แต่ส่วนหลักๆคือ

1.ภาคคำนวณ-คือการคำนวณการโคจรของดวงดาวต่างๆว่าสถิตราศีไหน เสวยนักษัตรอะไร และดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ทำมุมกันกี่องศา อยู่ราศีอะไร เสวยนักษัตร จึงให้เกิดข้างขึ้น ข้างแรม เดือน ปี ฤดูกาลต่างๆ คำนวนการเกิด อายัน - ครีษมายัน - เหมายัน - วิษุวัต - ศารทวิษุวัต - วสันตวิษุวัต  หรือ คำนวณการเกิดสุริยคราส จันทรคราส ซึ่งสามารถคำนวนได้มานับพันๆปีแล้วโดยไม่ต้องใช้กล้องดูดาว

2.ภาคพยากรณ์-คือการใช้การคำนวณข้างต้นมาพยากรณ์ดวงชะตาบ้านเมือง ดวงชะตาบุคคลต่างๆ ที่เรานิยมใช้กันในปัจจุบันนี้ ล้วนต้องมาจากโหราศาสตร์ภาคคำนวนทั้งสิ้น

เพราะในอดีตไม่มีปฏิทิน การคำนวณดิถีขึ้นแรม วันจันทร์เพ็ญ จันทร์ดับ เดือน ปี ฤดูกาล ตามปฏิทินระบบจันทรคติแม้ทุกวันนี้ ก็ต้องใช้วิชาโหราศาสตร์ภาคคำนวนในการทำปฏิทินจันทรคติแต่ละปี ซึ่งใช้กันแพร่หลายไปทั่วเอเชีย ไม่ว่าจีน  อินเดีย ซึ่งวันสำคัญและเทศกาลต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ใช้ปฏิทินจันทรคติทั้งสิ้น ในการกำหนดเทศกาล

สำหรับในพุทธศาสนา ก็จำเป็นต้องเดือนทางจันทรคติ และดิถีขึ้น-แรม ในการกำหนดวันการทำอุโบสถ สังฆกรรม เข้าพรรษาออกพรรษา ก็จะต้องมีภิกษุสงฆ์ผู้รู้โหราศาสตร์ในการคำนวนปฏิทินจันทรคติ เพื่อบอกกล่าว วันเวลา ทำสังฆกรรมให้ตรงตามพุทธบัญญัติ

หากไม่มีวิชาโหราศาสตร์  ก็จะไม่มีใครคำนวณ หรือสร้างปฏิทินจันทรคติได้เลย แล้วพระสงฆ์จะทำสังฆกรรม ลงอุโบสถ ข้าพรรษา ออกพรรษา ให้ถูกต้องได้อย่างไร

 

ดูดวงโหราศาสตร์พระเวท