Website แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ให้บริการฤกษ์ยามชั้นสูงของโหราศาสตร์ภารตะจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ และได้ผลตอบรับดีสูงสุดเป็นปีที่ 15 แล้ว WebSite ของเราให้การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากยุโรป "SiteGuarding" บริการดูฮวงจุ้ย แก้ฮวงจุ้ย เสริมฮวงจุ้ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี***

Upagrahas effect Part 1

ดาวเคราะห์ที่ไร้แสงอย่าง ดาวอุปเคราะห์ เป็นดาวเคราะห์เงา(ฉายาเคราะห์) เช่นเดียวกับ ดาวราหู และ ดาวเกตุ ซึ่งถือเป็นจุดที่อ่อนไหวในห้วงอวกาศและก็มีอิทธิพลต่อราศีจักรและเชื่อมโยงไปถึงจักระทั้ง 7 ในร่างกายของเรา เหมือนกับดาวเคราะห์อื่นๆที่เชื่อมโยงกับจักระทั้ง 7 เช่นกัน

และเมื่อดาวเคราะห์ดวงใดก็ตามที่โคจรเข้าใกล้จุดของดาวอุปเคราะห์ที่เป็นจุดเงามืดเหล่านี้  ก็จะให้แสงของดาวเคราะห์นั้นๆถูกเงาของดาวอุปเคราะห์บดบัง และทำให้ดาวเคราะห์เหล่านั้นสูญเสียความสามารถในการให้ผล

ในอัธยายะที่ 25 ในคัมภีร์พฤหัต ปะราศะระ โหรา ศาสตรา ( बृहत् पराशर होरा शास्त्र) ของ มหาฤษี ปะราศะระ  (पराशर महर्षि) ในเรื่อง “ผลของดาวอุปคราะห์คราะห์”  กล่าวว่า:

“ดังนั้น เมื่อข้าพเจ้าได้อธิบายผลกระทบของดาวเคราะห์ทั้งเจ็ดไปแล้ว และในบัดนี้ข้าพเจ้าจักอธิบายเกี่ยวกับผลกระทบของดาวฉายาเคราะห์ทั้งหลาย”

ดาวฉายาเคราะห์ทั้งหลายมีอยู่สามกลุ่ม เหล่านี้คือ:

กลุ่มที่ 1 – ราหูและเกตุ – คือจุดที่ทำให้เกิดอุปราคา

กลุ่มที่ 2 – กลุ่มธูมะ – คือจุดที่คำนวณจากองศาของดาวอาทิตย์

กลุ่มที่ 3 – กลุ่มกาละเวลา – คือบุตรในเงามืดของดาวเคราะห์ทั้ง 7

(2) กลุ่มธูมะ ก็คือ ดาวอุปเคราะห์-อะประการศะ มีทั้งหมด 5 ดวง

1.ธูมะ(धूम) เป็นบุตรของพระอังคาร

2.วยะตีปาตะ (व्यतीपात) หรือ ปาตะ(पात) เป็นบุตรของพระราหู

3.ปะริเวษะ (परिवेष) หรือ ปะริธิ(परिधि) เป็นบุตรของพระจันทร์

4.อินทระธะนุ (इन्द्रधनु)  อินทระจาปะ (इन्द्रचाप) จาปะ(चाप) โกทันทะ (कोदन्द) เป็นบุตรของพระศุกร์

5.อุปะเกตุ (उपकेतु) ธวะชา (ध्वजा) หรือ สิขิ (सिखि) เป็นบุตรของพระเกตุ

เนื่องจากดาวฉายาเคราะห์หรือดาวอุปเคราะห์แต่ละดวงคำนวณมาจากองศาของดาวอาทิตย์เป็นหลัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่เปิดเผยให้เห็นถึงที่มาที่ไปและคุณลักษณะหรือธาตุแท้ของพวกดาวอุปเคราะห์เหล่านี้เท่านั้น แต่ยังแสดงถึงอิทธิพลต่อดวงชะตาอีกด้วย

ดาวอาทิตย์เป็นดาวแห่งแสงสว่างที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่ที่สุดบนท้องฟ้าและการโคจรของอาทิตย์ก็ก่อให้เกิดการแบ่งท้องฟ้าออกเป็น12 ราศี และราศีเหล่านี้จะส่งอิทธิพลต่อจักระทั้ง 7 ภายในร่างกายของเรา การโคจรของดาวอาทิตย์และการโคจรของดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ก็จะส่งผลต่อจักระภายในกายของเราทุกคนเช่นกัน ผลก็คือจะทำให้กรรมทั้งหลายที่เราได้สร้างมันเอาไว้แต่ชาติปางก่อนซึ่งถูกเก็บไว้ในส่วนลึกที่สุดของจักระในแต่ละจักระก็จะถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เราได้เผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า"โชคชะตา"

เนื่องจาก”กลุ่มธูมะ”คำนวณมาจากตำแหน่งของดวงอาทิตย์ แสดงให้เห็นว่าดาวอุปเคราะห์เหล่านี้อาจบ่งบอกถึงจุดอ่อนหรือจุดมืดบอดของเราบางอย่างหรือที่เราเรียกกันว่า"กรรม" และเรือนต่างๆที่ดาวอุปเคราะห์เหล่านี้สถิตย์จะทำให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งในด้านมุมมองของชีวิต และรู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น

ซึ่งมีผลมาจากบาปหรือบุญที่เราได้เคยสร้างขึ้นเอาไว้ในอดีต ซึ่งก็อาจจะเกิดผลร้ายเพราะถูกอิทธิพลของเงามืดบดบัง ซึ่งเงามืดนั้นมีอยู่จริงโดยธรรมชาติและมีอยู่ในทุกๆสรรพสิ่ง  ซึ่งหากมีดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งสถิตย์อยู่ใกล้จุดเหล่านี้ คุณสมบัติของดาวเคราะห์เหล่านั้นก็จะถูกบดบังเช่นกัน  เงามืดนั้นก็คืออุปสรรคและขัดขวางการตระหนักรู้ของเรา ทำให้เราอาจจะทำให้เรามัวเมาลุ่มหลง หรือขาดสติสัมปชัญญะชะ ขาดความสำนึกในหน้าที่ของตน ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดปัญหาชีวิตตามมา

หากเปรียบเทียบให้ฟังแบบง่ายๆว่า เหมือนเรากำลังขับรถอยู่บนถนน  และมีรถคันอื่นแล่นมาอยู่ในจุดอับสายตาของเรา และหากเราเลี้ยวกลับในทันที การประสบอุบัติเหตุย่อมเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  นี่แหละคือวิธีการทำงานของดาวเคราะห์เงา(ดาวอุปเคราะห์) ดังนั้นการทำความรู้จักและหาวิธีจัดการกับดาวอุปเคราะห์เหล่านี้จึงมีประโยชน์มาก อย่างไรก็ตาม ดาวอุปเคราะห์ไม่ใช่จะส่งผลร้ายไปเสียทั้งหมด แต่หากอยู่ในเงื่อนไขที่ถูกต้องและเหมาะสม ดาวอุปเคราะห์ก็สามารถให้ผลดีและคุณประโยชน์อื่นๆได้อย่างมากมาย

มหาฤษี ปะราศะระ  ให้คำอธิบายว่าดาวอุปเคราะห์เหล่านี้สามารถส่งผลต่อจิตสำนึกของเราได้อย่างไร โดยกล่าวว่าดาวอุปเคราะห์คือเงาที่จับต้องไม่ได้และไร้ตัวตนเหล่านี้นั้นจริงๆก็คือตัวแทนของดาวเคราะห์ทั้ง 7 ที่เป็นตัวตน

ในอัธยายะที่ 3 โศลกที่ 65 ท่านกล่าวว่า “หากดาวอุปเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งอยู่ตำแหน่งเบียฬดาวอาทิตย์ วงศ์ตระกูลของเจ้าชะตาจะเสื่อมถอย ในหากอยู่ตำแหน่งเบียฬดาวจันทร์และเบียฬลัคนาจะทำลายอายุขัยและสติปัญญาตามลำดับ และด้วยประกาศิตแห่งพระพรหมผู้ซึ่งอุบัติบนดอกบัว  กฎนี้ใช้ได้กับอุปเคราะห์ทั้งสามกลุ่ม”

แหล่งข้อมูลบางแห่งหรือบางคัมภีร์ยังมีการกำหนดตำแหน่ง อุจน์ นิจ และตำแหน่งเกษตร ให้กับดาวอุปเคราะห์เงาเหล่านี้ เช่นเดียวกับดาวเคราะห์ที่เป็นตัวตน (ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหัสบดี ดาวศุกร์ และดาวเสาร์) ตำแหน่งอุจน์ เกษตร ฯลฯ ของดาวอุปเคราะห์เหล่านี้ สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกว่าดาวอุปเคราะห์เหล่านี้ส่งอิทธิพลต่อจิตสำนึกของเราอย่างไร และตำแหน่ง อุจน์ นิจ เกษตร มีดังนี้

ตำแหน่ง อุจน์ นิจ เกษตร ของดาวอุปเคราะห์

1.ธูมะ(धूम) เป็นอุจน์ในราศีสิงห์ เป็นนิจในราศีกุมภ์ เป็นเกษตรในราศีมังกร

2.วยะตีปาตะ (व्यतीपात) เป็นอุจน์ในราศีพิจิก เป็นนิจในราศีพฤษภ เป็นเกษตรในราศีเมถุน

3.ปะริเวษะ (परिवेष)  เป็นอุจน์ในราศีเมถุน เป็นนิจในราศีธนู เป็นเกษตรในราศีธนู (?)

4.อินทระธะนุ (इन्द्रधनु) เป็นอุจน์ในราศีธนู เป็นนิจในราศีเมถุน เป็นเกษตรในราศีกรกฏ

5.อุปะเกตุ (उपकेतु) เป็นอุจน์ในราศีกุมภ์ เป็นนิจในราศีสิงห์ เป็นเกษตรในราศีกรกฏ

หากดาวอุปเคราะห์เหล่านี้สถิตย์อยู่ในราศีของตนเอง(เป็นเกษตร) เป็นอุจน์หรือเป็นนิจ อาจไม่ส่งผลดีหรือผลเสียต่อดวงชะตาแบบชัดเจนนัก เช่น เดียวกับราหูและเกตุ แต่ดาวเจ้าเรือนหรือเจ้าราศีที่ดาวอุปเคราะห์นั้นสถิตย์จะเป็นตัวกำหนดอิทธิพลดีร้ายของดาวอุปเคราะห์นั้นๆ

**หมายเหตุ ราหูและเกตุ เป็นดาวที่ไร้ตัวตน ดังนั้นการสำแสดงพลังของราหูและเกตุจักต้องกระทำผ่านดาวเคราะห์ที่เป็นเจ้าเรือนที่ราหูและเกตุนั้นสถิตอยู่  ตัวอย่างเช่น ดาวราหูสถิตราศีมิถุนในดวงชะตา ราหูจึงต้องสำแดงพลังผ่านดาวเจ้าเรือนคือดาวพุธ ดังนั้นคุณลักษณะและอุปนิสัยของราหูในราศีนี้จึงคล้ายกับดาวพุธมาก  และหากดาวพุธ(เจ้าเรือนราศีมิถุน)ไปสถิตในราศีกันย์ซึ่งได้ตำแหน่งมหาอุจน์ ดาวราหูก็ย่อมได้รับพลังในด้านดีจากมหาอุจน์ด้วยเช่นกัน

 

Upagrahas effect Part 1 1

 

มีความเชื่อว่าความเข้มแข็งของลัคนา  เจ้าเรือนลัคนา"ลัคนาธิปติ" และ ดาวเคราะห์"อาตมะการกะ"(ดาวเคราะห์ที่เสวยองศาสูงสุดในดวงชะตา) มีอิทธิพลต่อต้านผลร้ายของดาวอุปเคราะห์ในดวงชะตา เพราะมาจากหลักการที่ว่า"ลัคนา"และ "อาตมะการกะ"ทำหน้าที่เป็น "เจ้าแห่งพันธนาการและการปลดปล่อย" “ ซึ่งบ่งบอกว่ารากฐานดวงชะตาที่แข็งแกร่งไม่ว่าจะจาก"ลัคนา"และ "อาตมะการกะ" สามารถที่จะรักษาอาณาจักรแห่งชีวิตของเราให้เป็นระเบียบและมั่งคงมากยิ่งขึ้น

**"อาตมะการกะ"(आत्माकारक) คือดาวเคราะห์ที่เสวยองศาสูงสุดในดวงชะตา ซึ่งมาจากโหราศาสตร์ระบบไชมินิ ตามทฤษฎีของมหาฤษีไชมินิมุนี (जैमिनी मुनि) จากคัมภีร์ไชมินิสูตร (जैमिनी सूत्र) "อาตมะการกะ" คือตัวบ่งชี้ถึงความปรารถนาของจิตวิญญาณ ซึ่งตามหลักโหราศาสตร์พระเวท วิญญาณจะเกิดใหม่ก็ต่อเมื่อมีความปรารถนาที่ยังไม่สำเสร็จซึ่งไม่สามารถทำได้ในชาติก่อนดังนั้นวิญญาณจะเกิดใหม่เพื่อรับโอกาสที่จะเติมเต็มจิตวิญญาณของตน และความปรารถนาเหล่านี้คืออะไรและจะสำเร็จหรือไม่ ซึ่งจะถูกกำหนดจากดาวเคราะห์ที่เป็น "อาตมะการกะ"

และโหราจารย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า "ดาวอาตมะการกะ" ถือเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ที่สำคัญที่สุดในพื้นดวงชะตา ซึ่งในสมัยโบราณไม่มีนาฬิกาใช้ คนสมัยก่อนส่วนมากจึงไม่มีเวลาเกิดที่ละเอียดเป็นนาที นอกจากชนชั้นสูงหรือในเมืองใหญ่ๆในสมัยโบราณเท่านั้นจึงมีนาฬิกาใช้ซึ่งเรียกว่า “ฆะฏิกา ยันตระ” घटिका यंत्र  (หรือนาฬิกาชนิดใช้น้ำ)ซึ่งสามารถบอกเวลาได้ละเอียดเป็นชั่วโมงนาทีเหมือนปัจจุบัน เมื่อเวลาเกิดไม่แน่นอน โหราจารย์สมัยนั้นจึงมักใช้ชนมราศี(ชนมจันทร์) คือราศีที่จันทร์สถิตย์เป็นลัคนาหรือใช้ดาวที่มีองศาสูงสุดหรือ”อาตมะการกะ”เป็นลัคนาแทน ซึ่งได้ผลแม่นยำดุจกัน

ผลดีผลร้ายของดาวอุปเคราะห์นั้น เปรียบประดุจกับอาณาจักรที่มีผู้ปกครองที่เข้มแข็ง และหากมีโจรผู้ร้ายอยู่ในอาณาจักรนั้น  ก็จะไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ตรงกันข้ามกับอาณาจักรที่มีผู้ปกครองที่อ่อนแอ โจรผู้ร้ายและอาชญากรก็จะกำเริบเสิบสานและก็จะทำลายความสุขสงบของอาณาจักรนั้นๆ

ในทำนองเดียวกัน ยิ่งลัคนาของเราหรือ ดาวอาตมะการกะ เข้มแข็งมากเท่าใด ก็ย่อมสามารถกำราบอิทธิพลร้ายของดาวอุปเคราะห์ทั้งหลายให้สงบราบคาบลงได้ และทำให้เราสามารถควบคุมอาณาจักรแห่งดวงชะตา ทั้งจัดการกับผลดีผลร้ายในดวงชะตาของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ก่อนที่จะสรุปเกี่ยวกับอิทธิพลของดาวอุปเคราะห์ที่น่าสะพรึงกลัวเหล่านี้ เราต้องมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับรากฐานของดวงชะตาเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งรวมทั้งความเข้มแข็งของลัคนา,เจ้าเรือนลัคนา, และดาวอาตมะการกะ นอกจากนี้ยังต้องพิจารณาไปถึงความเข้มแข็งของดาวเคราะห์เจ้าราศีที่ดาวอุปเคราะห์แต่ละดวงนั้นสถิตอยู่ ซึ่งในแต่ละเงื่อนไขจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำที่สุดแก่เราว่า ดาวอุปเคราะห์เหล่านี้จะส่งผลต่อชีวิตของเราอย่างไร

-------------------------------------------------------------------