ประวัติอาจารย์ เทพย์ สาริกบุตร
ท่านที่สนใจทางไสยเวทพุทธาคมคงจะพอคุ้นหูกับชื่อของอ. เทพย์ สาริกบุตรกันพอสมควร ท่านผู้นี้นับเป็นอาจารย์ใหญ่ในสายกรุงเทพฯ คนหนึ่ง คนส่วนใหญ่มักรู้จักท่านผ่านงานค้นคว้าขนาดมหึมาของท่าน แต่คนรุ่นหลังมักไม่ค่อยได้ทราบเรื่องราวของท่านมากนัก หลายคนอาจไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวท่านเลย นอกจากศึกษางานเขียนของท่าน
วันนี้จะเล่าเรื่องอาจารย์เทพย์ให้ฟัง อาจไม่ละเอียดนักเพราะเป็นเรื่องเก่า ผ่านเวลามาพอสมควรทำให้ลืมเลือนไปบ้าง หากผิดพลั้งตรงส่วนใดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย อาจารย์เทพย์ท่านเป็นคนกรุงเทพ ฯ มีศักดิ์เป็นหลานชายของหลวงวิศาลดรุณกร (อั้น สาริกบุตร) อดีตผู้อำนวยการของโรงเรียนสวนกุหลาบ คุณหลวงวิศาลดรุณกรนี้ตามประวัติชำนาญทางโหราศาสตร์มาก เพราะเป็นศิษย์ของพระเทวโลก โหรหลวงนามอุโฆษในสมัยรัชกาลที่ ๖ และคุณหลวงยังชำนาญทางวิทยาคมและพระกรรมฐาน โดยเป็นศิษย์เรียนกรรมฐานในสำนักวัดราชสิทธาราม โดยมีพระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) เป็นอาจารย์ พระสังวราชุ่มนี้เป็นผู้ทรงกิตติคุณทางวิปัสสนาธุระองค์หนึ่ง และได้เล่าเรียนทางวิปัสสนาเพิ่มเติม แม้ทางสายมหายาน โดยคุณหลวงได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ขององทันเคียด แห่งวัดอุภัยราชบำรุง (วัดญวน) เพื่อศึกษากรรมฐานกระทำมุทราตามแบบพุทธตันตระอีกด้วย อ.เทพย์ก็ได้ความรู้จากเจ้าคุณอามิใช่น้อย ส่วนทางมารดาของท่านเองก็มีผู้ชำนาญในทางนี้คือท่าน พันเองหลวงธรณีนิติญาณ
จำได้ว่าภายหลังบิดาท่านย้ายไปทำงานราชการแถบชานเมือง แต่อ.เทพย์ก็ยังคงวนเวียนศึกษาหาความรู้ทั้งทางโลกและทางไสยเวทพุทธาคมอยู่ ในแถบพระนครนี่เอง ก็มีแถววัดสามปลื้ม วัดปทุมคงคา วัดสามจีน ย่านนี้ซึ่งมีคนดีมีวิชา เป็นพระเป็นอาจารย์สักบ้างอยู่หลายท่าน และก็ได้เรียนกับท่านมหาโต๊ะสำนักวัดราชบุรณะ และก็อาจารย์อีกหลายรูปแถบฝังธน ทั้งทางเลขยันต์และพระกรรมฐานจนมีความแตกฉาน ต่อมาราว พ.ศ. 247 กว่า ๆ ท่านพระครูใบฎีกาเทพย์ สิงหรักษ์ ฐานานุกรมในสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ม.ร.ว. เจริญ อิศรางกูร ณ อยุธยา) วัดระฆัง ได้พิมพ์ตำราเพ็ชรรัตน์มหายันต์ขึ้น ช่วงนั้นอ.เทพย์ท่านได้แวะเวียนไปปรึกษาด้านวิชาอยู่เนือง ๆ และก็มีท่านเจ้าคุณศรี วัดสุทัศน์ ฯ อีกรูปหนึ่งที่อ.เทพย์ยกย่องเป็นอาจารย์ด้วยความเคารพ ท่านผู้นี้สนใจศึกษาไสยศาสตร์ตั้งแต่ครั้งยังบวชเป็นสามเณรกับพระพุทธวิถี นายก (บุญ) วัดกลางบางแก้ว กล่าวกันว่า ในสมัยนั้นท่านแตกฉานในวิชาทางนี้มาก ถึงขนาดยกย่องกันว่า ไม่มีคาถาอาคมบทไหนที่ไม่เคยผ่านสายตาท่านมาก่อน อ.เทพย์ได้เรียนวิชาพระยันต์ ๑๐๘ นะ ๑๔ ตามตำรับพระพนรัตน วัดป่าแก้วที่ใช้หล่อพระชัยวัฒน์ในพระราชพิธี ต่อมาได้ประยุกต์มาหล่อพระกริ่งกันจนทุกวันนี้
วิชาทางคงกระพัน อ.เทพย์เคยไปฝากตัวศึกษาอยู่กับท่านอาจารย์ ที่จำวัดอยู่วัดน้อยทองอยู่และวัดภุมรินทร์ราชปักษา ซึ่งปัจจุบันร้างไปแล้วภายหลังสงครามโลก และก็ได้ไปสำนักวัดมณีชลขันฑ์ ลพบุรี ได้วิชาสายนี้มามากพอดู ท่านอาจารย์เทพย์ก็เป็นที่รู้จักของบรรดาพระเถรานุเถระทั้งหลายในกรุงเทพ ฯ สมัยก่อน รูปใดมีความรู้ความสามารถท่านก็ไปปรึกษาอยู่เนือง ๆ ประกอบกับได้ค้นคว้าด้วยตนเองเป็นส่วนใหญ่จากตำรับตำราสารพัดที่ตกทอดมาแต่ โบราณ ติดขัดตรงไหนก็ไปไต่ถามผู้รู้ จนกระทั่งมีความแตกฉาน แม้สำนักวัดประดู่ทรงธรรม สำนักวัดพระญาติ ทางพระนครศรีอยุธยา ท่านก็เคยไปสืบวิชามา และก็รู้จักกับอ.เฮง อีกด้วย เด็กนักเรียนสวนกุหลาบ เทพศิรินทร์สมัยก่อนมาลงวิชาชาตรีกับอ.เฮงมิใช่น้อย
การศึกษาวิชาของอ.เทพย์ ก็วนเวียนอยู่ในสายกรุงเก่า-กรุงเทพนี้เอง คือครูบาอาจารย์จากอยุธยาและบางกอกก็สายเดียวกัน เว้นแต่สายทางมอญซึ่งท่านไปแลกเปลี่ยนกับพระสมุห์โต๊ดวัดชนะสงคราม และก็หลวงปู่รอด ปรมาจารย์ผู้เรืองวิทยาคมแห่งวัดบางน้ำวน และก็เริ่มมีลูกศิษย์ลูกหามากขึ้นตามวัยวุฒิคุณวุฒิ ท่านไม่หยุดจะเสาะแสวงหาความรู้ ทำให้ยากที่จะกำหนดครูบาอาจารย์ที่ได้เรียนวิชามาได้แน่นอน ที่สำคัญคืออาจารย์ฆราวาสซึ่งสำเร็จวิชาแก้ว ๔ ดวง ได้สอนวิชานี้ให้โดยบอกเป็นปริศนา หกสองหกยกเสียสองตัว คุณแก้วเหนือหัวคำเดิมอย่าเสีย ฯลฯ ให้คิดถอดถอนเพื่อหนุนธาตุทำให้บังเกิดอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา คนใกล้ชิด อ.เทพย์เล่าว่าอาจารย์ผู้นี้บอกเคล็ดวิชาแล้วก็เดินลงน้ำหายไปอย่างไร้ร่อง รอย นอกจากนี้ยังได้รู้จักกับ อ.พรหม ขมาลา (เปรียญ) สำนักวัดพระเชตุพน ซึ่งท่านผู้นี้มีส่วนสำคัญในการเสาะหาตำรับตำราต่าง ๆ เพื่อมาชำระ โดยในครั้งแรกมีพระมงคลราชมุนี (สนธิ์) วัดสุทัศน์ ฯ เป็นที่ปรึกษา แต่ท่านก็ได้มรณภาพไปเสียกลางคัน ทำให้โครงการตำราคัมภีร์พระเวทต้องชะงักไปชั่วคราว แต่ก็ได้ริเริ่มจนเสร็จ อ.พรหมผู้นี้ชำนาญทางผงวิเศษ เพราะสืบสายวิชามาจากสายสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) วัดระฆัง แม้ อ.ตรียัมปวาย (พ.อ.ประจญ กิตติประวัติ) ก็ยังรู้จักและนับถือ ใช้เวลาหลายปีจึงสำเร็จออกมาเป็นชุดคัมภีร์พระเวท ๖ เล่ม ตั้งแต่ฉบับปฐมบรรพ ถึงฉัฏฐบรรพ ชุดคัมภีร์ ๖ เล่มนี้ท่านพิมพ์เองและได้ขาดตลาดไปร่วม ๓๐ ปีแล้ว แม้ที่พิมพ์ขายอยู่ในปัจจุบันก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยจากคัมภีร์ชุดใหญ่ ๖ เล่มนั้น
สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่จะมีผู้คน ลูกศิษย์ลูกหาแวะเวียนไปปรึกษา หาความรู้อยู่ไม่ขาด แรกที่เดียวบ้านอ.เทพย์อยู่ถนนเพลินจิต พระนคร ต่อมา ท่านได้ขายที่และย้ายไปอยู่แถว ลาดพร้าว บางเขน ท่านมีเรื่องต้องไปบวชในร่มเงาสมณเพศ จำพรรษาที่วัดสีหไกรสร บางกอกน้อย เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการให้ฤกษ์กับคณะปฏิวัติ พอคลี่คลายจึงได้ลาสิกขาออกมา ระหว่างบวชได้สร้างพระกริ่งที่เรียกกันว่า กริ่งปวเรศน้อย เสกดีมาก ๆ ถ้าจำไม่ผิดหลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ (พระไพโรจน์วุฒาจารย์) รับนิมนต์มาเสกด้วย ลูกศิษย์ลูกหา อ.เทพย์ส่วนใหญ่เป็นคนใหญ่คนโต นักการเมือง ทหาร ตำรวจ ทางในรั้วในวังก็รู้จัก และไม่เพียงด้านไสยศาสตร์แม้โหราศาสตร์ท่านก็แตกฉาน ท่านเคยทำยาจินดามณีถวายพระเจ้าอยู่หัวด้วย
สมัยก่อนใครสนใจเรื่องคงกระพัน ไปพบท่าน ท่านเสกคาถาจำพวกหัวใจ ๔ ตัว แล้วก็ลองสับให้ดูได้ อย่างเรื่องสะเดาะกุญแจนี้ มีครั้งหนึ่งอาจารย์เทพย์ไปบ้านอ.หนู (นิรันดร์) ที่ทำพระกริ่งวัดสุทัศน์ ไปนอนเล่นอยู่หรืออย่างไรนี่แหละ อยู่ ๆ ก็มีลูกศิษย์คนหนึ่งเข้ามาบอกเห็นว่าขลังนัก ลองสะเดาะประแจให้ดูหน่อย ถ้าทำได้จริงถึงจะเชื่อ อะไรทำนองนี้ สถานการณ์บังคับท่านจึงจำใจหยิบกุญแจมาใส่มือบริกรรม แล้วก็ตบไปที่กุญแจนั้น เสียงลั่นดังเปรี๊ยะปรากฏว่ากุญแจลั่นออก ข้างในแตกและพังไปเลย ปัจจุบันได้ยินว่ากุญแจนั้นก็ยังอยู่เป็นหลักฐาน แต่อยู่ที่ใครผมไม่ทราบเพราะไม่ได้ถามไว้ แล้วก็เรื่องปลุกพระภควัมให้ลุกนั่ง คือเอาพระภควัมมาใส่แช่น้ำมันหอมในขันสัมฤทธิ์ ปลุกให้พระลุกตั้งขึ้น ท่านทำไว้หลายองค์ แต่ต้องนั่งเสกนานหลายวัน ที่น่าสนใจคือมีคราวหนึ่งท่านลองเสกดอกจำปาเป็นแมลงภู่ตามคำยุของศิษย์ เอาดอกจำปาใส่ขันปิดฝาเสก เสกแล้วเสกเล่าก็ไม่เป็น จนผ่านไปหลายวัน ไม่เป็นสักที ท่านเกิดโมโหจึงเอาขันไปเททิ้ง พอเทออกเท่านั้นล่ะครับ ดอกจำปาก็บินเป็นแมลงภู่ไปทันที ใครอยากเสกอะไรก็ขอให้จำไว้เป็นอุทาหรณ์ ว่ามันไม่ใช่ของง่ายเลยนะครับ บั้นปลายอ.เทพย์ท่านป่วยเป็นเบาหวาน จนถึงที่สุดกับต้องตัดขาทั้งสองข้าง แต่ท่านก็กำลังใจดี มีธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว จนถึงวาระสุดท้ายท่านก็จากไปอย่างสงบ พระราชทานเพลิงศพที่วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน ลูกศิษย์คนสำคัญของท่านยังมีอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นเคยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง เมื่อผมยังบวชเป็นพระที่วัดบวรนิเวศ เคยไปฉันบ้านท่านผู้นี้ ยังได้พบกับ อ.ถนอม ศิษย์สำคัญคนหนึ่งของอ.เทพย์ที่บ้านท่านเลยครับ จบเรื่องท่านอาจารย์ใหญ่แต่เพียงคร่าว ๆ เท่านี้ครับ เรื่องยังมีอีกมากจำไม่หมด ตรงไหนเลอะเลือนไปก็กราบขออภัยท่านผู้เกี่ยวข้องมา ณ โอกาสนี้
อนึ่ง ลายมืออักขระในตำราอาจารย์เทพย์นั้นมิใช่ลายมืออาจารย์เทพย์เขียนดังที่หลาย คนเข้าใจ ผู้เขียนคืออ.จริน ผู้มีลายมืองดงาม กล่าวกันว่าท่านผู้นี้ก็สามารถลบผงปถมังทะลุกระดานได้ครับ
อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ท่านเป็นปรมาจารย์ด้านพระกริ่งคนหนึ่งในเมืองไทยทีเดียว ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าท่านเป็นนักซื้อขายพระหรือเซียนพระแต่ประการใด แต่ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหล่อพระกริ่ง และด้านไสยเวทย์คนหนึ่งในเมืองไทยที่หาตัวจับได้ยากยิ่งเลยทีเดียว ท่านยังเป็นปรมาจารย์ทางโหราศาสตร์ที่สำคัญคนหนึ่งของเมืองไทยอีกด้วย ท่านถือกำเนิดเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๔๖๒ อาจารย์เทพย์เป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษกว่าคนทั่วไป ท่านมีรกซึ่งมีลักษณะเป็นหมวกครอบศีรษะออกมาด้วยเป็นที่พิศดาร คุณหลวงวิศาลรุนกร (อั้น สาริกบุตร) ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เป็นคุณลุงของอาจารย์เทพย์ และท่านยังเป็นโหราจารย์ที่มีชื่อคนหนึ่ง ตั้งชื่อให้ว่าเทพย์เพื่อเป็นมงคล ท่านพูดเป็นคำขันว่า เจ้าหมอเทพย์คนนี้น่ากลัวจะมีวิชาดีเอาติดตัวมาด้วย คำพูดของท่านเป็นจริงเมื่ออาจารย์เทพย์เติบโตขึ้นท่านก็กลายเป็นนักวิชาการ ทางด้านโหราศาสตร์ และไสยศาสตร์ของเมืองไทยคนหนึ่งมี พันเอกหลวงธรณีนิติญาณ (สวัสดิ์ อินทรพล) ซึ่งเป็นคุณลุงทางฝ่ายมารดา ถ่ายทอดวิชาหมอดู โหราศาสตร์ไทยให้ท่าน ในขณะที่คุณหลวงวิศาลฯ สอนวิชาโหราศาสตร์สากล ท่านเป็นคนวิริยะอุตสาหะจริงๆ ใช้เวลาทุกขณะค้นคว้าหาความรู้ทางด้านนนี้มาตลอด ส่วนทางด้านไสยเวทย์มีคุณพ่อของอาจารย์ซึ่งถ่ายทอดวิชาวัดปากคลองมะขามเฒ่า ให้เป็นพื้นฐาน (คุณพ่อของอาจารย์เทพย์เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลอง)
นอกจากนั้นยังมีพระอาจารย์สี วัดมณีชลขันธ์ อาจารย์ผาด หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วถ่ายทอดวิชาทำยาจินดามณีอันศักดิ์สิทธิ์ และวิชาทำพระไม้โพธิ์แกะห้ามสมุทรที่มีคุณวิเศษ เป็นลูกศิษย์รักของท่านเจ้าคุณศรีสัจจาสนธิ์ วัดสุทัศน์ที่ถ่ายทอดวิชาการหล่อพระกริ่งอันดับหนึ่งในเมืองไทย และท่านยังได้ศึกษาวิชาเพิ่มเติมจากวัดประดู่โรงธรรม อยุธยา ตักศิลาที่สำคัญยิ่งของเมืองไทย ท่านได้พบกับหลวงปู่เทียม วัดกษัตริย์ตรา หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ ที่เดินทางมาศึกษาวิชาวัดประดู่เหมือนกัน และเป็นสหธรรมมิกที่สนิทสนมกันเป็นพิเศษ แลกเปลี่ยนวิชากันอยู่เสมอมิได้ขาด นอกจากนี้ท่านยังแลกเปลี่ยนวิชากับหลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน (สำหรับหลวงปู่รอดนี้ เรื่องมีอยู่ว่า มีลูกศิษย์ของท่านถูกเจ้าเข้ามาตลอด ญาติจึงพามาหาหลวงปู่รอดเพื่อแก้ไข แต่ท่านได้รดน้ำมนต์ ลงตะกรุดให้ติดตัว แต่เจ้าก็ยังเข้าได้อยู่ดี จึงได้ให้ลูกศิษย์มาหาอาจารย์เทพย์ เพื่อขอคำแนะนำ อาจารย์เทพย์ได้ลงตะกรุดไปให้ดอกหนึ่งถวายหลวงปู่รอด หลวงปู่รอดจึงให้คนที่ถูกเจ้าเข้าสิงใส่ติดตัวแทนตะกรุดหลวงปู่ เป็นที่น่าอัศจรรย์เจ้าที่เคยเข้าได้มาตลอดกลับเข้าไม่ได้อีกเลยนับตั้งแต่ บัดนั้น หลวงปู่รอดจึงขึ้นมาหาอาจารย์เทพย์ถามเรื่องยันต์ในตะกรุดนั้นว่าลงอะไร อาจารย์เทพย์จึงถวายวิชาลงตะกรุดนั้นให้หลวงปู่รอดไป นับตั้งแต่บัดนั้นหลวงปู่รอดไปมาหาสู่อาจารย์เทพย์มาโดยตลอดแลกเปลี่ยนวิชา กันอยู่เสมอ ท่านมากรุงเทพเมื่อไหร่ต้องมาแวะพักค้างที่บ้านอาจารย์เทพย์มิได้ขาด อาจารย์เทพย์นับถือหลงปู่รอดเป็นครูบาอาจารย์ของท่านองค์หนึ่งเลยทีเดียว
ท่านยังเป็นเจ้าพิธีที่สำคัญๆของเมืองไทยอยู่หลายพิธี ซึ่งหลายท่านยังคงไม่ทราบ เช่น พิธีมหาจักรพรรดิ์กษัตราธิราช วัดปรินายก และที่พิษณุโลก พิธีที่สำคัญและน้อยท่านที่ทราบวิธีการจัดให้ถูกต้อง และพิธีหล่อพระกริ่งจอมสุรินทร์ พระกริงเอกาทศรถ พระกริ่งจิตคุโตหลวงพ่อผาง ฯลฯ ที่กล่าวมานี้ท่านลงแผ่นทอง กำหนดฤกษ์ยามให้ และเป็นเจ้าพิธีควบคุมด้วยตัวท่านเอง พระกริ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับท่าน คือพระกริ่งวัดปรินายก พระกริ่งปวเรศน้อย วัดช่องลม(วัดสีห์ไกรสร) ท่านทำตอนที่ท่านบวชเป็นพระภิกษุ ว่ากันให้หมู่ลูกศิษย์เททองเสร็จ ยิงได้เลยยังไม่ต้องปลุกเศกผลเป็นที่น่าอัศจรรย์ ปืนยิงไม่ออกแม้แต่นัดเดียว ทำให้พระกริ่งชุดนี้ เป็นที่เสาะแสวงหากันมากในหมู่นักนิยมสะสมพระเครื่อง และยังมีการปลอมออกมาหลายฝีมือทีเดียว พระกริ่งดาว ๗ ดวง ที่หล่อเพียง ๗ องค์เท่านั้น ใครที่คิดจะหาปิดประตูได้เลย เพราะอยู่กับผู้ที่มีอันจะกินระดับแนวหน้าของเมืองไทยทั้งหมด ที่เรียกกริ่ง ๗ ดาวนี้ เนื่องจากในปีนั้นมีดวงพระเคราะห์ทั้ง ๗ ดวงเคลื่อนเข้ามาอยู่ในราศีเดียวกัน และให้คุณเป็นอันมาก เรียกว่ารอกันเป็นสิบๆ ปีได้เลยกว่าจะเกิดปรากฏการแบบนี้ จึงเป็นที่มาของพระกริ่ง ๗ ดาว ส่วนพระบูชาไม้โพธ์แกะปางห้ามสมุทร หรือโพธิ์นิพพาน ท่านได้สร้างไว้เหมือนกันแต่น้อยมากๆ พระควัมบดีแกะจากไม้รักซ้อนตายพรายก้นอุดด้วยพระธาตุและผงวิเศษ พระควัมบดีแกะจากไม้หิ่งหายผี ส่วนเครื่องรางก็จะมี เสื้อยันต์ท่านทำสมัยสงครามอิน โดจีน ผ้ายันต์ต่างๆ เชือกคาดเอว (ลงแล้วเผาไฟไม่ไหม้ตามตำรา) สำหรับเครื่องรางเหล่านี้จะต้องมีเครื่องสังเวยครูตามตำรานั้นๆ เลยทีเดียวถ้าไม่มีมาท่านจะไม่ทำให้เป็นอันขาด เพราะท่านถือเรื่องการเคารพครูเป็นอย่างสูง เครื่องรางของท่านแต่ละชิ้นจึงมีราคาค่าตัวสูงพอสมควร ตะกรุดต่างๆ เช่น ตะกรุดมหาจักดิ์กษัตราธิราชที่ลงในพิธีมหาจักรพรรดิ์ที่นับดอกได้ ปีที่ทองคำตกบาทละ ๕๐๐๐ กว่า เคยมีคนเอาทองคำหนัก ๖ บาทมาแลกตะกรุดมหาจักรพรรดิ์ไป ๑ ดอก ตะกรุดคู่ชีวิต ตะกรุดดวงพิชัยสงคราม และตะกรุดอื่นๆ ประคำประเจ้าตรึงไตรภพ ที่ทำจำน้อยมากมีไม่เกิน ๒๐ กว่าเส้นเท่าที่ทราบ และหาผู้ที่รู้จริงทำได้น้อยมากเช่นกัน แม้แต่วัดกลางบางแก้วเอง สิ้นหลวงปู่บุญ ก็ไม่มีท่านใดทำต่อได้เลย ลงด้วยคาถารัตนมาลา ทั้ง ๑๐๘ คาถาและต้องท่องจบสูตรรัตนมาลาทั้งหมด ๓ ห้อง คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไส้ทำด้วยเงินลงยันต์ บ้างท่านเป็นทองคำก็มี พันดวยกระดาษสาโรยด้วยผงยันต์ปถมัง ฯลฯ ลงรักปิดทองทั้งเส้น ผมยังมีบุญที่ได้เห็นอยู่หนึ่งเส้นในชีวิต เพราะของสำคัญอาจารย์เทพย์ส่วนใหญ่ จะตกอยู่ในมือผู้ที่มีอันจะกินระดับเจ้าสัว แทบทั้งสิ้นจึงไม่มีของหลุดออกมาให้เห็น
มีดเทพศาสตราที่รวบรวมชนวนพระกริ่งที่ท่านทำทั้งหมดมาหลอมเป็นใบ นำมาตบแต่งเป็นมีดจารทั้งใบหน้าหลังมีดท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ขณะที่ลงใบปลายมีดลงยันต์โอ้ฟ้าผ่าอยู่นั้น ฟ้าก็ได้ผ่าลงมาให้เห็นจริงๆ จะเห็นได้ว่าท่านเรียนวิชาอะไรก็สำเร็จตามคุณวิเศษของตำรานั้น เท่าที่ผมได้ทราบมากับตัวเองและที่เห็นในเรื่องเหล่านี้ก็จะมี อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร และอาจารย์ชุม ไชยคีรี สองท่านนี้ที่ทำได้ตามตำราจริงๆ คุณวิเศษของมีดนั้นเรื่องไล่ผี ขับคุณไสยถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา มีดของท่านยังใช้ทำความได้ด้วย (เรื่องนี้ผมได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวจากลูกศิษย์คนสนิทของท่านคนหนึ่ง ว่ายังใช้ทำความได้ดี ใช้ข่มศัตรู เพียงแต่นำรู้ถ่ายของคู่ความ คู่กรณีมาว่าคาถาที่กำกับ และพันกับด้ามมีดเท่านั้น คู่ความไม่สามารถว่าความได้เลย) วิชาทำยาจินดามณีได้รับอนุญาติจากสำนักพระราชวัง ให้ใช้พระอุโบสถวัดพระแก้วประกอบพิธี นับว่าหาได้ยากจริงๆ เท่าที่ทราบก็ไม่มีผู้ใดอีกเลยที่ทำพิธียาจินดามณี ในพระอุโบสถ วัดพระแก้วได้ นอกจากนี้ยังได้รับโปรดเกล้าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้หล่อพระกริ่ง พระชัยวัฒน์ ถวายพระองค์อีกด้วย สีผึ้งสามไฟที่เลื่องลือในด้านเมตตานิยม การเจรจาเป็นอย่างสูง พิธีสุดท้ายท่านทำที่วัดเสน่ห์หา เมื่อทำสำเร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จพระราชดำเนินมายังวัดเสน์ห์หาพอดี นับว่าเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์เป็นอย่างมากสำหรับอาจารย์เทพย์ ที่ได้ลองทำวิชาสีผึ้งสามไฟ ใครมาขอท่านจะให้แค่เท่าหัวไม้ขีดไฟเท่านั้น และนำไปผสมกับสีผึ้งที่เตรียมมา ลูกศิษย์ที่ได้ใช้ต่างบอกเล่าเป็นเสียงเดียวกันว่าวิเศษตามที่ท่านได้บอก สรรพคุณจริงๆ ระยะหลังท่านได้เลิกทำเครื่องราง เพราะสุขภาพไม่อำนวย แต่ยังคงไว้ในส่วนพระกริ่งของท่านเองที่ทำเพื่อการสร้างวัดวาอาราม บูรณปฏิสังขรณ์ ถาวรวัตถุต่างๆ ครั้งหลังนี้ท่านเลือกประกอบพิธีที่วัดตะเคียน (วัดมหาพฤฒาราม) มาโดยตลอดเพราะรู้จักสนิทสนมกับเจ้าอาวาส พระกริ่งที่เทวัดคะเคียนนี้ ที่ผมจำได้จะมี พระกริ่งนวโกฏิ (พระนวเศรษฐี) พระกริ่งปวเรศ พระชัยวัฒน์ พระบูชาหลวงพ่อดำ (พระบูชาหลวงพ่อดำนี้เป็นพระศักดิ์สิทธิ์ พระจำองค์สมเด็จพระสังฆราชแพ วัดสุทัศน์ ที่พระองค์เดิมเป็นพระสมัยเชียงแสนหล่อด้วยสำริด เนื้อกลับเป็นสีดำ ส่วนฐานท่านได้ให้ช่างแกะเป็นเทวดานพเคราะห์ทั้ง ๙ ดวง และแผงไม้ประดับองค์พระด้านหลัง คล้ายกับพระพุทธชินราช พิษณุโลก และถวายพระนามใหม่ว่าหลวงพ่อดำ) เหรียญนารายณ์แปลงรูป เหรียญพุทธนิมิตร ส่วนการประกอบพิธีพุทธาภิเษกท่านได้นิมนต์หลวงปู่โต๊ะ หลวงพ่อทองอยู่ วัดหนองพะองค์ (หลวงพ่อทองอยู่นี้ท่านดังมากในเรื่องใช้กสิณดับแสงดาว และท่านยังเป็นญาติทางฝ่ายแม่ของอาจารย์เทพย์อีกด้วย) ส่วนหลวงปู่โต๊ะ ท่านเป็นสหธรรมมิกกับอาจารย์เทพย์ เวลาที่หลวงปู่โต๊ะทำผงมักจะมาทำที่บ้านของอาจารย์เทพย์เสมอ
ประสพการณ์ของอาจารย์เทพย์นั้นมักจะมีในแทบทุกด้าน วิชาที่ท่านทำแต่ละอย่างนั้นถือว่าศักดิ์สิทธิ์ และเป็นวิชาชั้นสูง อย่างเช่น ทางด้านเมตตามหานิยม นั้นท่านทำให้ถึงขนาดที่ว่าเทวดายังต้องลงมารัก มาเมตตาสงสาร ให้ความช่วยเหลือ ไม่ใช่เมตตามมหาเสน่ห์แล้วจบลงด้วยการนอนร่วมเพศกันเหมือนกับอาจารย์ลวงโลก ในสมัยนี้ทำ ท่านยกอุปมาอุปมัยมาสั่งสอนลูกศิษย์โดยตลอด ในเรื่องต่างๆเหล่านี้ วิชามหาเสน่ห์ท่านก็มีแต่ไม่ได้ประสิทธิประสาทให้กับผู้ใด ท่านว่าเป็นวิชาขั้นต่ำ ท่านเคยทำวิชานี้ให้พระอาจารย์ติ๋ว วัดมณีชลขันธ์ ได้ประจักษ์เป็นบุญตามาแล้ว (เมื่อปี ๕๐ มีลูกศิษย์พระอาจารย์ติ๋ว ท่านหนึ่งโทรมาแลกเปลี่ยนประสพการณ์กับผม เล่าให้ฟังว่า มีอยู่วันหนึ่งที่พระอาจารย์ติ๋วเข็ญรถอาจารย์เทพย์ ออกมาหน้าบ้านท่านบอกอยากเห็นอะไรมั๊ย พอพูดจบท่านนั่งภาวนาคาถาสักครู่ ในขณะนั้นมีผู้หญิงสองคนเดินผ่านหน้าบ้านท่านพอดี ท่านจึงเป่าคาถาใส่ผู้หญิงสองคนนั้น ปรากฎว่าผู้หญิงสองคนนั้นเดินเข้ามาหาอาจารย์เทพย์และหอมแก้มท่านเป็นการ ใหญ่ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเลย พระอาจารย์ติ๋วเห็นแล้วถึงกับอึ้ง ในวิชามหาเสน่ห์ของอาจารย์เทพย์ที่ทำให้ดู) อาจารย์เทพย์ ท่านมรณะเมื่อ วันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๓๖ นับว่าเป็นการสูญเสียครูบาจารย์ที่สำคัญ ท่านหนึ่งในเมืองไทย นี่เป็นประสพการณ์เล็กๆน้อยส่วนหนึ่งที่ผมได้รับรู้ ได้เห็นมา
ขอบคุณข้อมูลจาก : เว็บท่านอาจารย์โต อินทาโก