“ลองคิดพิจารณาดูสิ.............
แท้ที่จริงแล้ว ปุถุชนทั้งหลายที่กำลังวุ่นวายอยู่กับเรื่องราวของทางโลก หากได้มีสติรู้แจ้งในฉับพลัน .........เมื่อตื่นก็จะพบว่า เมฆหมอกควันไฟได้สลายจางหายไป.........ฝุ่นละอองแห่งความเศร้าหมองก็จะมิบังเกิด”
ความทุกข์
*อันความทุกข์ทั้งหลายนั้น ล้วนแล้วมาจากจิตที่คิดแบ่งแยก ...หากเราได้มีสติระลึกรู้เท่าทัน รู้จังหวะแห่งการแปรเปลี่ยนผัน ...ความทุกข์นั้นก็ย่อมลดน้อยถอยลงในทันใด.
*ก็ด้วยเหตุไฉนเล่า ชีวิตนี้จึงมีทุกข์ ... ก็เหตุเพราะเราได้ละเลยพุทธธรรม มิได้นำมาใช้ในการดำเนินชีวิต.
*หากมีความรู้สึกเห็นแก่ตัวเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อนั้นย่อมรู้สึกทุกข์ทรมานอย่างที่สุด.
*ความเจ็บปวดรวดร้าวที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิตก็คือ การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน.
*ความทุกข์ระทมที่สุดในชีวิตคนเราก็คือ การทะเลาะเบาะแว้งกัน.
*ปาฎิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตคนเราก็คือ การหมดทุกข์
ï เมื่อความทุกข์คืบคลานเข้ามาใกล้เมื่อใด เราจะทำให้มันสลายลงไปในในชั่วพริบตาได้หรือไม่๚ ๛
ï จิตอุปมาดังกรงนก ที่ขังนกอยู่เต็มกรง หากเราเพียงแต่เปิดมันออกเท่านั้น ความทุกข์ทั้งหลายก็โบยบินออกไปจนสิ้น ๚ ๛
ï ความทุกข์สำหรับนักปฎิบัติแล้ว ย่อมไม่มีเพิ่ม ย่อมไม่มีลด ๚ ๛
ï จงใช้จิตใจที่สงบเยือกเย็นเผชิญหน้ากับความไม่สงบระงับของสรรพสิ่ง ๚ ๛
ï การตัดขาดซึ่งทุกข์ คือการพ้นแล้วซึ่งการเกิดดับ ๚ ๛
ï ความทุกข์หากเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ปล่อยให้ผ่านพ้นไป ทุกข์ใดกข์ใดที่ยังไม่เกิดก็จะไม่ให
ï ความทุกข์คือบ่อเกิดของปัญญา วัฎสงสารก็คือรากฐานของพระนิพพาน ๚ ๛
........................................................................................................................