ติดต่อสอบถาม กรุณาแอด Line @astroneemo

  • Slider 1
  • Slider 2
  • Slider 3
  • Slider 4
  • Slider 5
  • Slider 6
  • Slider 7
  • Slider 8

Website แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ให้บริการฤกษ์ยามชั้นสูงของโหราศาสตร์ภารตะจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ และได้ผลตอบรับดีสูงสุดเป็นปีที่ 15 แล้ว WebSite ของเราให้การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากยุโรป "SiteGuarding" บริการดูฮวงจุ้ย แก้ฮวงจุ้ย เสริมฮวงจุ้ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี***

 20160229024119876

ผมขออนุญาต พูดในฐานะผู้คลุกคลีอยู่วงการสงฆ์มหายานของไต้หวันมานานนับสิบปี ภิกษุณีไต้หวันนั้น ส่วนมากทางพฤตินัยมักไม่ยอมรับครุธรรม ๘ ประการ หรือบางรูปแยกออกไปตั้งวัดต่างหากแล้วประกาศต่อสาธณะชนเลยว่า ภิกษุณีวัดนี้ไม่รับครุธรรม ๘ ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ และชาวบ้านส่วนมากก็ไม่รู้พระวินัยก็ยอมรับว่าถูกต้อง เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นการกีดกันทางเพศ

  Bhikkhuni 7

 

สำหรับวัดไต้หวันวัดใหญ่ๆบางวัด ภิกษุณีมีอิทธิพลทางการปกครองสูงมาก จนภิกษุสงฆ์เกรงใจ หรือบางทีก็ต้องกราบไหว้ โค้งคำนับพระมหาเถรีว่าเป็นผู้อาวุโสหรือครูอาจารย์

วัดใหญ่ๆหลายวัด ภิกษุณีบางรูปก็มักจะใช้มารยาแห่งอิสตรี ใช้ความพินอบพิเทา ดูแลเอาใจใส่ เอาอกเอาใจต่อพระสงฆ์เถระซึ่งเป็นเจ้าอาวาส จนเจ้าอาวาสใจอ่อนไว้เนื้อเชื่อใจ เชื่อฟังคำเพ็จทูลของภิกษุณีรูปนั้น จนทำให้ภิกษุณีรูปนั้นก็ได้เป็นตัวแทนของเจ้าอาวาสทำการปกครองสงฆ์ทั้งสองฝ่ายในวัดนั้น ๆ แทนเจ้าอาวาสผู้ชราภาพ

บางวัดภิกษุสงฆ์กับภิกษุณีสงฆ์ต่างก็กินเกาเหลาเจ คือไม่กินเส้นกัน แก่งแย่งอำนาจบริหารกันในวัด ชิงดีชิงเด่นกัน แบ่งพรรคแบ่งพวก มีปัญหาเรื่องเงินทอง หรือไม่ก็เป็นเรื่องถึงขนาดปราชิกก็มี ก็เพราะชายหญิงอยู่ร่วมกัน มันก็ยากที่จะควบคุมจิตใจ ซึ่งคนในวัดนั่นแหละรู้ดีที่สุด

บางวัดภิกษุณีตั้งตนเป็นเอกเทศ ตั้งตนเป็นปวัตติณี (อุปัชฌาย์) บวชภิกษุณีเองฝ่ายเดียว หรือพระสงฆ์ไต้หวันบางรูปก็บวชภิกษุณีเองฝ่ายเดียว เช่นกัน ซึ่งตามพระวินัยนั้นภิกษุณีจะต้องอุปสมบทในสองทั้งสองฝ่าย จึงจะสมบูรณ์

วัดแต่ละวัดต่างก็อ้างตัวเองว่าเป็นสายการปฏิบัติที่ถูกต้องตามนิกายของตนที่สืบทอดมานับพันปี อย่างไม่ขาดสาย ทั้ง ๆที่การปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน ได้ทำลายวัดวาอาราม ศาสนสถานต่าง ๆ จนแทบไม่เหลือ ภิกษุและภิกษุณีก็ถูกจับสึกมาใช้แรงงานจนเกือบหมด หรือไม่ก็หนีตายไปอยู่ไต้หวัน

พุทธศาสนิกชนไต้หวันถูกสอนให้บริจาคทำบุญ หรือทำพิธีกรรมต่าง ๆ ด้วยเงินทอง ของเซ่นไหว้ว่า ได้บุญมาก อีกทั้งชาวไต้หวันก็ไม่เคยได้บวชเรียนเหมือนเมืองไทย เพราะที่นั่นการบวชหมายถึงบวชตลอดชีวิต และไม่เคยได้ศึกษาพระธรรมวินัย ให้สามารถตัดสินหรือวินิจฉัยพฤติกรรมของพระสงฆ์และภิกษุณีได้เลยว่าประพฤติผิดหรือถูก

เพราะที่นั่นมีกฎอันหนักไว้ว่า "ห้ามฆราวาสไปอ่านหรือศึกษาพระวินัยของพระสงฆ์และภิกษุณีอย่างเด็ดขาด" มิฉะนั้นจะมีโทษหนัก ตกอบายภูมิมหานรก ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราอย่างเห็นได้ชัด

นี่คือปัญหาของภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไต้หวัน ที่ทุกคนในเมืองไทยไม่เคยรู้มาก่อน กลับถูกล่อลวงว่าเป็นสายปฏิบัติสืบทอดมาอย่างถูกต้อง แล้วไปรับการอุปสมบทมาจากไต้หวัน ต่อมาก็ไปแปลงบวชเป็นภิกษุณีเถรวาทที่ศรีลังกา แล้วกลับมาอยู่เมืองไทย

ซึ่งการบวชภิกษุณีเถรวาทนี้ก็ไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย เพราะภิกษุณีสงฆ์เถรวาทนั้นขาดสูญสิ้นวงศ์ไปนานแล้ว และการบวชจะต้องบวชด้วยภิกษุสงฆ์-ภิกษุณีสงฆ์เถรวาท อันมีศีลวินัยเสมอกันทั้งสองฝ่ายจึงจะสมบูรณ์ มิใช่ไปบวชจากมหายานมาแล้วแปลงสภาพเป็นเถรววาท แบบนี้เท่ากับเลี่ยงบาลี

หากท่านไปบวชเป็นภิกษุณีมหายานที่ไต้หวัน ก็ควรถือวัตรปฏิบัติและศีลวินัยแบบมหายาน ต้องแต่งกายแบบมหายาน ถือโพธิสัตว์ศีลแบบมหายาน จึงจะเรียกว่า สำนึกรู้คุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ที่บวชให้
 
เพราะวัตถุประสงค์ของการบวชสายมหายานนั้นก็คือการสืบทอบสายการปฏิบัติของนิกายนั้นๆ ให้สืบต่อเนื่องไปไม่ขาดสาย แต่การที่มีเจตนาบวชเพื่อเอาสิทธิในการแปลงเพศบรรพชิตไปเปลี่ยนสายปฏิบัติเป็นเถรวาทนั้น ดูเจตนาเหมือนจะไม่ศรัทธาในสายครูอาจารย์ของตนเองที่บวชให้ ผมก็เองศรัทธาภิกษุณีเหมือนกัน ครูอาจารย์ของผมหลายท่านก็เป็นภิกษุณีมหายานที่มีวัตรปฏิบัติอันน่าศรัทธาอยู่หลายรูป

ในประเทศไต้หวันไม่มีกฎหมายควบคุมสงฆ์ จนทำให้ต่างวัด ต่างนิกาย ตั้งตนเป็นเอกเทศ ตั้งตนเป็นอุปัชฌาย์เอง สั่งสอนและอธิบายธรรมะตามคัมภีร์ของนิกายตน และแต่ละวัดหามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ ต่างก็ชิงดีชิงเด่น แก่งแย่งสาวกกันอย่างน่าเกลียด หรือไม่ก็สร้างวัดวาอารามให้ดูหรูราอลังการเพื่อแสดงถึงบารมีของตน อีกทั้งพิธีกรรมก็มีกฎเกณฑ์มากมาย สร้างภาพให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เคร่งขรึม แต่งเติมภาพลักษณ์ให้คนเกิดศรัทธาแต่ไม่เสริมปัญญา อีกทั้งมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ออกสื่อต่าง ๆ เชิญดาราหรือคนสำคัญมาเป็นฟรีเซ็นเตอร์ ให้ดูเหมือนว่า ทำบุญที่นี่ได้บุญมากที่สุด

ในเมืองไทยวิธีการแบบนี้ก็มีให้เห็น โดยเฉพาะวัดแห่งหนึ่งแถวปทุมธานี ที่ลอกเลียนแบบการบริหารจัดการการโฆษณาประชาสัมพันธ์และรูปแบบมาจากวัดใหญ่แห่งหนึ่งในใต้หวัน จนเมื่อก่อนนับญาติกันเป็นวัดพี่วัดน้องกันเลยทีเดียว และก็ประสบความสำเร็จเสียด้วย มีสาวกมากมายอีกทั้งทรัพย์สินเงินทองมากมายก็ตามมาอย่างมหาศาล

ส่วนมากวัดใหญ่ๆในใต้หวันแต่ละวัดต่างก็มีกฎห้ามสาวกของตน เข้าไปร่วมบำเพ็ญหรือเข้าไปศึกษาในวัดอื่นหรือสำนักอื่น คือเป็นวัดใครวัดมัน ลูกศิษย์วัดไหนก็วัดนั้น ห้ามไปทำบุญวัดอื่น จนทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่พุทธบริษัท

แม้แต่วัดสาขาของวัดใต้หวันที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเอง ก็มีเกือบ 10 แห่ง ที่สร้างเป็นสถานธรรมสำหรับชาวไต้หวันที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยโดยเฉพาะ ก็มีกฎเช่นว่านี้ นัยว่าต้องแก่งแย่งสานุศิษย์กันเอง ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างยอดเงินบริจาค และปริมาณของสาวก

pikkuni

การที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติครุธรรม๘ ประการ ไม่ใช่เป็นการกีดกันสตรีเพศหรือขาดพระเมตตากรุณาก็หาไม่ แต่เพราะท่านรู้อุปนิสัยและสันดานแห่งอิตถีเพศว่าเป็นอย่างไร และอิตถีเพศก็เป็นอันตรายต่อเพศพรหมจรรย์ของพระสงฆ์ หรือไม่ก็เป็นอริซึ่งกันและกัน อาจทำให้ชีวิตพรหมจรรย์มีความขัดข้อง มัวหมอง

หากไม่ใช้กฎข้อบังคับหรือครุธรรม ๘ ประการนี้แล้ว อิสตรีย่อมกำเริบเสิบสาน ก็อยากเป็นใหญ่ อยากควบคุม อยากให้คนเคารพนบไหว้ กระทำการยุยง แบ่งแยก ซึ่งเป็นอุปนิสัยดั้งเดิมของสตรีเพศ และจะทำลายซึ่งวงศ์แห่งสมณะศากยบุตร ซึ่งทำให้อายุพระพุทธศาสนาลดลงจาก 10,000 ปีเหลืองเพียง 5,000 ปีเท่านั้น ด้วยเพราะเหตุนี้

ต่อไปในอนาคตหากภิกษุณีสงฆ์(เถรวาทแปลง) เมื่อเรืองอำนาจแล้ว และมีคนเคารพนับถือมากแล้ว พระสงฆ์ไทยจะอยู่ยากครับ

เพิ่มเติม

ครุธรรม (อ่านว่า คะรุทำ) แปลว่า "ธรรมอันหนัก" หมายถึง ข้อปฏิบัติสำหรับภิกษุณีอันเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่ทรงอนุญาตให้สตรีอุปสมบทได้ โดยต้องปฏิบัติด้วยความเคารพตลอดชีวิต มี 8 ประการโดยสรุป คือ

  1. แม้บวชมานานนับร้อยปีก็ต้องกราบไหว้ภิกษุ แม้บวชในวันนั้น
  2. ต้องจำพรรษาอยู่ในวัดที่มีภิกษุ
  3. ต้องไปถามวันอุโบสถและรับฟังโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
  4. ต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่ายหลังจำพรรษาแล้ว
  5. ต้องประพฤติมานัตในสงฆ์สองฝ่ายเมื่อต้องอาบัติหนัก
  6. ต้องเป็นสิกขมานา 2 ปี ก่อนจึงขออุปสมบทในสงฆ์สองฝ่ายได้
  7. ต้องไม่บริภาษด่าว่าภิกษุไม่ว่ากรณีใด ๆ
  8. จะว่ากล่าวตักเตือนภิกษุไม่ได้ แต่ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนได้