ผมขออนุญาต พูดในฐานะผู้คลุกคลีอยู่วงการสงฆ์มหายานของไต้หวันมานานนับสิบปี ภิกษุณีไต้หวันนั้น ส่วนมากทางพฤตินัยมักไม่ยอมรับครุธรรม ๘ ประการ หรือบางรูปแยกออกไปตั้งวัดต่างหากแล้วประกาศต่อสาธณะชนเลยว่า ภิกษุณีวัดนี้ไม่รับครุธรรม ๘ ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ และชาวบ้านส่วนมากก็ไม่รู้พระวินัยก็ยอมรับว่าถูกต้อง เพราะเข้าใจผิดว่าเป็นการกีดกันทางเพศ
สำหรับวัดไต้หวันวัดใหญ่ๆบางวัด ภิกษุณีมีอิทธิพลทางการปกครองสูงมาก จนภิกษุสงฆ์เกรงใจ หรือบางทีก็ต้องกราบไหว้ โค้งคำนับพระมหาเถรีว่าเป็นผู้อาวุโสหรือครูอาจารย์
วัดใหญ่ๆหลายวัด ภิกษุณีบางรูปก็มักจะใช้มารยาแห่งอิสตรี ใช้ความพินอบพิเทา ดูแลเอาใจใส่ เอาอกเอาใจต่อพระสงฆ์เถระซึ่งเป็นเจ้าอาวาส จนเจ้าอาวาสใจอ่อนไว้เนื้อเชื่อใจ เชื่อฟังคำเพ็จทูลของภิกษุณีรูปนั้น จนทำให้ภิกษุณีรูปนั้นก็ได้เป็นตัวแทนของเจ้าอาวาสทำการปกครองสงฆ์ทั้งสองฝ่ายในวัดนั้น ๆ แทนเจ้าอาวาสผู้ชราภาพ
บางวัดภิกษุสงฆ์กับภิกษุณีสงฆ์ต่างก็กินเกาเหลาเจ คือไม่กินเส้นกัน แก่งแย่งอำนาจบริหารกันในวัด ชิงดีชิงเด่นกัน แบ่งพรรคแบ่งพวก มีปัญหาเรื่องเงินทอง หรือไม่ก็เป็นเรื่องถึงขนาดปราชิกก็มี ก็เพราะชายหญิงอยู่ร่วมกัน มันก็ยากที่จะควบคุมจิตใจ ซึ่งคนในวัดนั่นแหละรู้ดีที่สุด
บางวัดภิกษุณีตั้งตนเป็นเอกเทศ ตั้งตนเป็นปวัตติณี (อุปัชฌาย์) บวชภิกษุณีเองฝ่ายเดียว หรือพระสงฆ์ไต้หวันบางรูปก็บวชภิกษุณีเองฝ่ายเดียว เช่นกัน ซึ่งตามพระวินัยนั้นภิกษุณีจะต้องอุปสมบทในสองทั้งสองฝ่าย จึงจะสมบูรณ์
วัดแต่ละวัดต่างก็อ้างตัวเองว่าเป็นสายการปฏิบัติที่ถูกต้องตามนิกายของตนที่สืบทอดมานับพันปี อย่างไม่ขาดสาย ทั้ง ๆที่การปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน ได้ทำลายวัดวาอาราม ศาสนสถานต่าง ๆ จนแทบไม่เหลือ ภิกษุและภิกษุณีก็ถูกจับสึกมาใช้แรงงานจนเกือบหมด หรือไม่ก็หนีตายไปอยู่ไต้หวัน
พุทธศาสนิกชนไต้หวันถูกสอนให้บริจาคทำบุญ หรือทำพิธีกรรมต่าง ๆ ด้วยเงินทอง ของเซ่นไหว้ว่า ได้บุญมาก อีกทั้งชาวไต้หวันก็ไม่เคยได้บวชเรียนเหมือนเมืองไทย เพราะที่นั่นการบวชหมายถึงบวชตลอดชีวิต และไม่เคยได้ศึกษาพระธรรมวินัย ให้สามารถตัดสินหรือวินิจฉัยพฤติกรรมของพระสงฆ์และภิกษุณีได้เลยว่าประพฤติผิดหรือถูก
เพราะที่นั่นมีกฎอันหนักไว้ว่า "ห้ามฆราวาสไปอ่านหรือศึกษาพระวินัยของพระสงฆ์และภิกษุณีอย่างเด็ดขาด" มิฉะนั้นจะมีโทษหนัก ตกอบายภูมิมหานรก ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราอย่างเห็นได้ชัด
นี่คือปัญหาของภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไต้หวัน ที่ทุกคนในเมืองไทยไม่เคยรู้มาก่อน กลับถูกล่อลวงว่าเป็นสายปฏิบัติสืบทอดมาอย่างถูกต้อง แล้วไปรับการอุปสมบทมาจากไต้หวัน ต่อมาก็ไปแปลงบวชเป็นภิกษุณีเถรวาทที่ศรีลังกา แล้วกลับมาอยู่เมืองไทย
ซึ่งการบวชภิกษุณีเถรวาทนี้ก็ไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย เพราะภิกษุณีสงฆ์เถรวาทนั้นขาดสูญสิ้นวงศ์ไปนานแล้ว และการบวชจะต้องบวชด้วยภิกษุสงฆ์-ภิกษุณีสงฆ์เถรวาท อันมีศีลวินัยเสมอกันทั้งสองฝ่ายจึงจะสมบูรณ์ มิใช่ไปบวชจากมหายานมาแล้วแปลงสภาพเป็นเถรววาท แบบนี้เท่ากับเลี่ยงบาลี
ในประเทศไต้หวันไม่มีกฎหมายควบคุมสงฆ์ จนทำให้ต่างวัด ต่างนิกาย ตั้งตนเป็นเอกเทศ ตั้งตนเป็นอุปัชฌาย์เอง สั่งสอนและอธิบายธรรมะตามคัมภีร์ของนิกายตน และแต่ละวัดหามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ ต่างก็ชิงดีชิงเด่น แก่งแย่งสาวกกันอย่างน่าเกลียด หรือไม่ก็สร้างวัดวาอารามให้ดูหรูราอลังการเพื่อแสดงถึงบารมีของตน อีกทั้งพิธีกรรมก็มีกฎเกณฑ์มากมาย สร้างภาพให้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย เคร่งขรึม แต่งเติมภาพลักษณ์ให้คนเกิดศรัทธาแต่ไม่เสริมปัญญา อีกทั้งมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ออกสื่อต่าง ๆ เชิญดาราหรือคนสำคัญมาเป็นฟรีเซ็นเตอร์ ให้ดูเหมือนว่า ทำบุญที่นี่ได้บุญมากที่สุด
ในเมืองไทยวิธีการแบบนี้ก็มีให้เห็น โดยเฉพาะวัดแห่งหนึ่งแถวปทุมธานี ที่ลอกเลียนแบบการบริหารจัดการการโฆษณาประชาสัมพันธ์และรูปแบบมาจากวัดใหญ่แห่งหนึ่งในใต้หวัน จนเมื่อก่อนนับญาติกันเป็นวัดพี่วัดน้องกันเลยทีเดียว และก็ประสบความสำเร็จเสียด้วย มีสาวกมากมายอีกทั้งทรัพย์สินเงินทองมากมายก็ตามมาอย่างมหาศาล
ส่วนมากวัดใหญ่ๆในใต้หวันแต่ละวัดต่างก็มีกฎห้ามสาวกของตน เข้าไปร่วมบำเพ็ญหรือเข้าไปศึกษาในวัดอื่นหรือสำนักอื่น คือเป็นวัดใครวัดมัน ลูกศิษย์วัดไหนก็วัดนั้น ห้ามไปทำบุญวัดอื่น จนทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่พุทธบริษัท
แม้แต่วัดสาขาของวัดใต้หวันที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยเอง ก็มีเกือบ 10 แห่ง ที่สร้างเป็นสถานธรรมสำหรับชาวไต้หวันที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยโดยเฉพาะ ก็มีกฎเช่นว่านี้ นัยว่าต้องแก่งแย่งสานุศิษย์กันเอง ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างยอดเงินบริจาค และปริมาณของสาวก
การที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติครุธรรม๘ ประการ ไม่ใช่เป็นการกีดกันสตรีเพศหรือขาดพระเมตตากรุณาก็หาไม่ แต่เพราะท่านรู้อุปนิสัยและสันดานแห่งอิตถีเพศว่าเป็นอย่างไร และอิตถีเพศก็เป็นอันตรายต่อเพศพรหมจรรย์ของพระสงฆ์ หรือไม่ก็เป็นอริซึ่งกันและกัน อาจทำให้ชีวิตพรหมจรรย์มีความขัดข้อง มัวหมอง
หากไม่ใช้กฎข้อบังคับหรือครุธรรม ๘ ประการนี้แล้ว อิสตรีย่อมกำเริบเสิบสาน ก็อยากเป็นใหญ่ อยากควบคุม อยากให้คนเคารพนบไหว้ กระทำการยุยง แบ่งแยก ซึ่งเป็นอุปนิสัยดั้งเดิมของสตรีเพศ และจะทำลายซึ่งวงศ์แห่งสมณะศากยบุตร ซึ่งทำให้อายุพระพุทธศาสนาลดลงจาก 10,000 ปีเหลืองเพียง 5,000 ปีเท่านั้น ด้วยเพราะเหตุนี้
ต่อไปในอนาคตหากภิกษุณีสงฆ์(เถรวาทแปลง) เมื่อเรืองอำนาจแล้ว และมีคนเคารพนับถือมากแล้ว พระสงฆ์ไทยจะอยู่ยากครับ
เพิ่มเติม
ครุธรรม (อ่านว่า คะรุทำ) แปลว่า "ธรรมอันหนัก" หมายถึง ข้อปฏิบัติสำหรับภิกษุณีอันเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นที่ทรงอนุญาตให้สตรีอุปสมบทได้ โดยต้องปฏิบัติด้วยความเคารพตลอดชีวิต มี 8 ประการโดยสรุป คือ
- แม้บวชมานานนับร้อยปีก็ต้องกราบไหว้ภิกษุ แม้บวชในวันนั้น
- ต้องจำพรรษาอยู่ในวัดที่มีภิกษุ
- ต้องไปถามวันอุโบสถและรับฟังโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
- ต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่ายหลังจำพรรษาแล้ว
- ต้องประพฤติมานัตในสงฆ์สองฝ่ายเมื่อต้องอาบัติหนัก
- ต้องเป็นสิกขมานา 2 ปี ก่อนจึงขออุปสมบทในสงฆ์สองฝ่ายได้
- ต้องไม่บริภาษด่าว่าภิกษุไม่ว่ากรณีใด ๆ
- จะว่ากล่าวตักเตือนภิกษุไม่ได้ แต่ภิกษุว่ากล่าวตักเตือนได้