เนื่องจากวันนี้เป็นวันพระ ก็เลยจะนำเรื่องเกี่ยวกับพระมาเล่าให้ฟัง เมื่อ 6-7 ปีก่อนมีลูกศิษย์พาชายวัยกลางคนๆหนึ่งมาหา ท่าทางภูมิฐาน แกมีชื่อว่าเถ้าแก่นั้ม แกก็เล่าให้ว่าหลายปีมานี้ชีวิตตกอับ ทำรับเหมาที่ไหนก็ขาดทุน ก็เลยไปปรึกษาพระหมอดูที่ดูทางในได้ พระท่านก็บอกว่าเถ้านั้มมีเจ้ากรรมนายเวรเยอะ ให้สร้างพระประธานถวายวัดแล้วอุทิศกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรแล้วก็จะหมดเคราะห์ เถ้าแก่ก็เชื่อตามนั้น แล้วนำเงินไปจัดสร้างพระประธานนำไปถวายวัดใกล้ๆ(ขนาดเท่าไหร่ผมก็จำไม่ได้) ตั้งไว้ในวิหาร ทำพิธีถวายเสียใหญ่โต
แกเล่าให้ผมฟังว่า ทุกๆวันพระแกก็จะไปที่วัดแล้วก็ไปเปลี่ยนดอกไม้ ทำความสะอาด จุดูปเทียนบูชา ทำความสะอาดผ้าสะไบ เติมน้ำมันตะเกียง เพื่อหวังว่าจะให้ชีวิตดีขึ้น และแกก็ทำมาตลอด 3 ปีไม่มีขาด แต่ก็ปรากฏว่าชาตาชีวิตก็ไม่ได้ดีขึ้นแต่กลับแย่ลง ๆ และแกก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถวายพระประธานแล้วไม่เห็นผลบุญส่งให้สักที
และแล้วเมื่อย่างเข้าปีที่ 4 ก็มีคนนำพระประธานองค์ใหญ่กว่าพระประธานของเถ้าแก่มาถวายวัด เจ้าอาวาสก็เลยเปลี่ยนพระประธานในวิหารเป็นองค์ใหม่ โดยอัญเชิญพระของเถ้าแก่นั้มเอาไปไว้นอกวิหาร เวลาฝนตกก็ถูกฝนสาด ตอนบ่ายๆก็ถูกแดดส่อง แล้วอัญเชิญองค์ใหญ่กว่าเข้ามาตั้งแทน เถ้าแก่โกรธมาก ถึงขั้นไปต่อว่าท่านเจ้าอาวาส ว่าทำไมเอาพระของแกมาตากแดดตากฝน แต่ท่านกลับเฉยๆไม่พูดอะไร
เรื่องนี้ทำให้เถ้าแก่นั้มทุกข์ใจมาก นอกจากเรื่องธุรกิจที่กำลังใกล้จะล้มละลายอยู่แล้ว และแล้วเถ้าแก่ก็ถามผมว่า “ตกลงว่าบุญมีอยู่จริงๆหรือ” ทำไมถวายพระประธานไปแล้ว กลับชีวิตยิ่งแย่ลงกว่าเก่า
ผมก็ถามแกว่า เถ้าแก่ถวายวัดแล้วจริงๆหรือ แกตอบว่า”จริงถวายมากับมือ ทั้งเจ้าอาวาสและคณะสงฆ์สวดชยันโตรับเรียบร้อยแล้ว และก็กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรแล้ว แต่ก็ไม่มีผลดีอะไรเกิดขึ้น”
ผมตอบแกไปว่า”เถ้าแก่ยังไม่ได้ถวายพระประธานให้กับวัดเลย” เถ้าแก่ตอบ”อ้าวแล้วยังไงอาจารย์ พระก็ยังตั้งอยู่ที่วัดนี่”ผมตอบแกไปว่า เถ้าแก่ถวายไปแล้วยังหวง ยังคิดว่าพระประธานเป็นของตัวเอง เฝ้าดูแลรักษาไม่ให้ใครมาแตะต้อง นี่เรียกว่ายังยึดติดเป็นเจ้าของอยู่ ยังไม่ได้สละเลยแม้แต่น้อย แล้วจะเรียกว่าถวายให้กับวัดได้ยังไง”
แล้วแกก็นิ่งอึ้งไปสักพักใหญ่ ผมก็พูดต่อ “การถวายสิ่งของให้ไว้ในพระศาสนาเป็นบุญใหญ่ แต่เถ้าแก่กลับยึดติดในสิ่งของที่ตนถวายไปแล้วว่ายังเป็นของตน อย่างนี้การถวายย่อมไม่สมบูรณ์ บุญก็ยังไม่เกิด” คราวนี้แกยอมรับว่าจริง แล้วก็มีน้ำตาซึมออกมานิดๆ
แกก็เลยถามผมว่าให้ทำยังไงการถวายจึงจะสมบูรณ์ ผมก็บอกแกว่า ให้ไปจุดธูปเทียนบอกกล่าวพระประธาน”ของเถ้าแก่”นั่นแหละว่า “บัดนี้ข้าพเจ้าขอน้อมถวายพระพุทธปฏิมาองค์นี้ให้เป็นสมบัติของสงฆ์ เพื่อเป็นอุเทสิกเจดีย์ และเพื่อเป็นเครื่องระลึกพุทธานุสติแก่สาธุชนทั้งหลาย และข้าพเจ้าขอสละละวางความยึดติดว่าพระพุทธปฏิมานี้เป็นของข้าพเจ้า ณ บัดนี้” เสร็จแล้วก็ให้ไปกรวดน้ำ อุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร แค่นี้ก็สมบูรณ์แล้ว เถ้าแก่ได้ฟังก็ดีใจมากร้องว่า “โอ้ คราวนี้ผมจะได้ถวายพระจริงๆกับเค้าเสียที เสียเวลาเอาไปฝากไว้ที่วัดตั้งนาน” แล้วแกก็หัวเราะ
จากนั้นไม่นานก็ได้ข่าวจากลูกศิษย์ว่าธุรกิจรับเหมาของแกดีขึ้นทันตาเห็น ภายในปีเดียวแกสามารถจัดการหนี้สินได้หมด และยังมีเงินเหลือซื้อรถหรูได้อีกคัน
ที่ผมเล่ามานี่เป็นเรื่องจริง เพราะ”การให้”ที่แท้จริงคือการเสียสละ ปล่อยวางความยึดติดในวัตถุโดยไม่เสียดาย ไม่พะวงถึง ให้แล้วก็แล้วกันไป และผมก็อยากถามเพื่อนๆทุกคนว่า คุณเคยเป็นแบบเถ้าแก่นั้มหรือเปล่า ?