ความจริงของการเกิดใหม่ ที่ทุกๆคนต้องรู้
ช่วงนี้ในเวลาหลังห้าทุ่มกว่าๆ มักจะมีความคิดที่เกี่ยวข้องกับธรรมะเข้ามาในหัวมาก เกือบทุกๆวัน เก็บเอาไว้มากเกินไปเดี๋ยวจะเปลืองบิตในสมอง ความจริงก็ไม่อยากจะเขียนเท่าใดนักดอก แต่มือไม้มันไปของมันเอง มันเปิดเครื่องเอง ทำเอง พิมพ์เอง แต่ก็ช่างมันเถอะ.....
คนเราเวลามีชีวิตอยู่ เวลาทำบุญสุนทานอะไรก็ตามทีหรือจะบำเพ็บภาวนาอะไรก็ตามที ก็มักจะปรารถนาในสวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ หรือมนุษย์สมบัติ (ที่เรียกว่าสมบัติๆก็คือขอให้มันได้แบบดีๆตามที่ใจมุ่งหวัง) บ้างก็ทำบุญกันเป็นกิจวัตร ทำกันขนานใหญ่ ทำกันทุกวี่วัน เพียงหวังในสมบัติในวันข้างหน้าหรือในภพหน้า อันนี้ไม่อยากจะบอกว่าก็เป็นความโลภและความหลงในภพประการหนึ่ง แล้วถ้าหากเราตายลงไปภพภูมิเบื้องหน้ามันจะสวยสดงดงามตามที่เราคาดหวังเอาไว้หรือเปล่า ใครเล่าจะรู้ได้นอกจากคนที่ได้ตายไปแล้ว (แต่ก็ไม่มีใครกลับมาบอกกันจะจะเสียที ส่วนมากก็มากันแบบกระมิดกระเมี้ยน แฝงมาในฝันบ้าง ทรงเจ้าบ้างตามระบบ)
สมัยหนึ่งพระพุทธองค์ขณะทรงอยู่ท่ามกล่างภิกษุหมู่ใหญ่ แล้วใช้นิ้วชี้จรดลงไปที่พื้นดินแล้วกล่าวกับพระอานนท์ว่า
“อานนท์ ธุลีดินในพื้นมหาปฐพีนี้ กับ ธุลีดินที่ปลายนิ้วชี้ของเราตถาคต อันไหนมากกว่า”
พระอานนท์ทูลตอบกลับว่า“ธุลีดินในพื้นมหาปฐพี มีจำนวนมากว่า มหาศาลกว่ายิ่งนักพระพุทธเจ้าข้า”
พระพุทะองค์ทรงประทานดำรัสไปว่า “ดีล่ะอานนท์ เราจักกล่าวกะเธอทั้งหลายว่า ผงธุลีในพื้นปฐพีนี้เปรียบกับจำนวนมนุษย์ทั้งหลายบนโลกนี้เป็นจำนวนนับมิได้ที่ละโลกนี้ไปแล้ว แต่ได้ไปอุบัติในสุขคติภูมินั้นมีจำนวนน้อยยิ่งนักเปรียบประดุจจำนวนเท่ากับผงธุลีที่ปลายนิ้วของเราเท่านั้น”
ฟังแล้วน่าตกใจไหม.... แล้วที่เหลือล่ะไปอุบัติในที่ใดในทุคติภูมิ
ภพภูมิทางพุทธศาสนา ได้ระบุแบ่งเอาไว้ ๖ ภูมิอย่างง่ายๆ ก็คือ สวรรค์ นรก เปรต อสุรกาย เดรฉาน และมนุษย์
สุขคติภูมิก็คือสวรรค์ทุกชั้น รวมพรหม อรูปพรหม ที่เหลือนอกนั้นก็คือ ทุคติภูมิ ................แล้วด้วยเหตุใดกันมนุษย์ทั้งหลายจึงพากันไปเกิดในแดนทุกคติภูมิกันจำนวนมากขนาดนั้น ทั้งๆที่ตอนมีชิวิตอยู่ก็มีคนจำนวนมากตั้งจิตเป็นกุศล บำเพ็ญเพียรภาวนา ถือศีล ถือธรรมก็มีมาก แล้วสิ่งเหล่านี้ยังเป็นหลักประกันได้หรือไม่ว่าจะไม่ลงไปในอบายภูมิ
คำตอบง่ายๆและสั้นๆก็คือ ไม่มีหลักประกันใดใดแม้แต่น้อยว่าเราท่านทั้งหลายจะไม่อุบัติในทุคติภูมิ(ในภพหน้า) ไม่เว้นแม้แต่คนที่บำเพ็ญกุศลบริจาคทานมาทั้งชีวิตก็ไม่รับประกัน
ยกเว้นบุคคลจำพวกเดียวก็คือ “บุคคล ๓ จำพวกเท่านั้น” ที่จะสามารถพยากรณ์และค้ำประกันได้ว่าในภพหน้าเมื่อละจากภพนี้ไปแล้วจะไม่ลงไปสู่อบายภูมิ
และบุคคลทั้ง ๓ จำพวกนี้คือใครบ้าง จำพวกแรกก็คือ พระอริยบุคคลขั้นโสดาบัน (รวมทั้งสัตตขักตุง โกลังโกละ เอกพีชี)
จำพวกที่สองก็คือ พระอนาคามี และจำพวกที่สามก็คือ พระสกทาคามี มี๓จำพวกนี้เท่านั้น นอกนั้นไม่มีความแน่นอนใดใดทั้งสิ้น ส่วนพระอรหันต์นั้นท่านหมดภพหมดภูมิใดใดทั้งสิ้นแล้ว หมดเชื้อแล้ว จึงไม่ต้องพยากรณ์การเกิดอีก
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเราจะทำยังไงกัน เพื่อจะได้ไปเกิดในภพภูมิหน้าที่สามารถไปสานต่อบารมีธรรมได้อีก อย่างน้อยก็จะได้เกิดในภูมิมนุษย์ที่มีสติปัญญามองเห็นทุกข์และพยายามปฎิบัติเพื่อล่วงทุกข์เหล่านั้น
กุญแจไขปริศนาที่สำคัญอันนี้ เราจะต้องไปศึกษาพระปรมัตถ์(พระอภิธรรม)ก่อนแล้วจึงจะเข้าใจ เพราะในขณะจิตดวงสุดท้ายที่จะดับลง (จุติจิต) เพื่อจะไปเกิดยังภพภูมิใหม่นั้น สำคัญยิ่งกว่าความเป็นความตายที่อยู่ตรงหน้าเสียอีก ก็จิตดวงนี้แหละที่ผลักดันเราไปสู่ภพภูมิเบื้องหน้า ถึงแม้ว่าจะมีกำลังน้อยกว่าก็ตาม เปรียบประดุจโคเฒ่าถึงแม้ว่าจะไม่มีกำลัง แต่หากได้อยู่ปากคอกแล้ว เมื่อประตูเปิดออกแล้ว โคเฒ่าที่ไร้กำลังนั้นก็ย่อมที่จะออกมาได้ก่อนฉันใดก็ฉันนั้น
ฉะนั้นจิตดวงสุดท้ายก่อนดับ หากเป็นกุศลจิตก็จะนำพาไปสู่ภพภูมิที่ดี และหากเป็นอกุศลจิตก็จะนำไปสู่ภพภูมิที่ชั่ว อันนี้เป็นหลักตายตัว แม้นว่าในชีวิตคนๆนั้นทำดีมากมากสักเพียงไหนก็แค่วัวหนุ่มที่อยู่ในคอกไม่ได้อยู่ปากคอก แต่จิตเมื่อใกล้ตายเกิดโทสะแม้เพียงเล็กน้อยก็นำไปสู่อบายได้ทันที ไปเสวยวิบากกรรมก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่ (แต่กุศลที่ทำก็ยังอาจให้ผลในชาติที่ ๒ ที่ ๓ บ้าง แต่ก็ไม่หายไปไหน ในกรณีนี้ชี้เฉพาะภพหน้าเท่านั้น) และถ้าหากมีคนๆหนึ่งชั่วชีวิตประกอบอกุศลกรรมทำชั่วมาทั้งชีวิต แต่เมื่อใกล้ตายได้สำนึกและตั้งจิตอันเป็นกุศล จิตดวงนี้แหละก็จะนำเขาไปสู่สุขคติภูมิ (แต่กรรมชั่วที่ทำไว้ก็ยังให้ผลต่อไปในภพอื่นๆ ดีไม่ดีหากได้เกิดเป็นคนก็อาจะพิการทุพลภาพ ลำบากยากจนก็เป็นได้หากเขาไม่มีกุศลอื่นๆที่ทำไว้ในชาติก่อนๆมารองรับ )
แล้วเรามั่นใจแล้วหรือว่า ในขณะที่เรากำลังจะตายจะด้วยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม จิตและอารมณ์ในขณะที่จะดับไปนั้นเราสามารถประคับประคองอยู่ด้วยสติอันบริบูรณ์ได้หรือไม่ จิตมีความผ่องใสปราศจากความหวาดหวั่นวิตกหรือหวาดกลัวหรือไม่ จิตจะไม่เกิดโทสะ หรือโมหะ หรือโลภะหรือไม่ ท่านไม่ต้องให้ใครมาประกันหรอก ท่านลองตรองดูว่า ท่านสามารถทำได้หรือไม่ในสภาวะอย่างนั้น คำตอบอยู่ที่ตัวท่านเอง นี่ยังไม่นับรวมถึงการตายโดยอุปัทวเหตุ การตายโดยฉับพลัน การตายโดยหลงลืมสติ นอนหลับ หมดสติ ฯลฯ นั่นก็ยากจะคาดเดาแล้วว่าผลจะเป็นอย่างไร
สรุปง่ายๆหากจิตที่ดับไปพร้อมกับโทสะ ภพหน้านรกภูมิเป็นอันหวังได้ หากดับไปพร้อมกับโลภะเปรตวิสัยภูมิเป็นอันหวังได้ หากเป็นโมหะเดียรฉานภูมิก็พอหวังได้ แล้วเมื่อหมดจากภพภูมินั้นแล้วก็เข้าเงื่อไขเดิมก็คือ”จิตดวงสุดท้าย”อีกนั่นแหละเป็นตัวนำไปเกิด หากท่านไปเกิดเป็นสุนัข กา ไก่ ฯลฯ จิตดวงสุดท้ายของสัตว์เหล่านั้นท่านคิดว่าจะเป็นอย่างไร และหากท่านเป็นเปรต จิตดวงสุดท้ายของเปรตผู้หิวโหยทุรนทุรายมาทั้งชีวิต มันจะผ่องใสได้แค่ไหน ในพระธรรมบทมักจะกล่าวถึงพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นลิง ๕๐๐ ชาติ เป็นสัตว์นั่นเป็นนี่ ๕๐๐ ชาติ (คำว่า ๕๐๐ ไม่ได้แปลว่า๕๐๐จริงๆหรอก แต่เป็นวลีที่แสดงจำนวนมากมายนับร้อยนับพัน)
ตรงนี้มีข้อสังเกตุ สำหรับผู้ที่กระทำอนันตริยกรรม(ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำพระพุทธองค์ห้อพระโลหิต ทำสงฆ์ให้แตกกัน) เมื่อใกล้ตายจิตที่เคยก่ออนันตริยกรรมนั้นแหละจะนำไปเกิดในมหานรกอเวจี เพราะจิตดวงนี้กล้าแข็งมาก มันจะแซงหน้าจิตดวงอื่นๆมารออยู่ปากคอกทันที่ที่ประตูเปิดออก
แล้วคุณล่ะมีสติที่มั่นคง พร้อมที่จะเตรียมตัวพบกับความตายได้มากน้อยแค่ไหน .... คุณต้องรับประกันตัวคุณเอง แม้พุทธองค์อยู่ตรงหน้าก็ช่วยอะไรคุณมิได้ เมื่อตายแล้วหากคุณต้องตกลงสู่นรกภูมิ แม้มีญาติพี่น้องทำบุญอุทิศไปให้สักร้อยล้านกระสอบก็ไม่มีผลอันใดทั้งสิ้น
อย่ามัวแต่หลงอยู่เลย รีบเตรียมตัวตายตั้งแต่วันนี้โดยการฝึกสติให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้า ออก เตรียมตัวรับกับความตายในทุกขณะจิต
ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงทรงกล่าวปัจฉิมวาจาอันสำคัญยิ่งว่า “ภิกษุทั้งหลายเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”
Astro Neemo 01:11 AM