ขั้นตอนการบรรพชา (บวชสามเณร)
เมื่อเข้าไปภายในพระอุโบสถ์แล้ว นาควันทาพระประธานอีกครั้งด้วยวิธีอย่างเดียวกันกับวันทาสีมา จากนั้นกลับไปนั่ง ณ สถานที่ที่จัดเตรียมไว้สำหรับนาค บิดา มารดา (หรือญาติผู้ใหญ่)มอบผ้าไตรให้นาค นาคคุกเข่ากราบ ๓ หน ยื่นแขนประณมมือรับผ้าไตร จากนั้นประณมมือประคองผ้าไตรเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์เมื่อถึงแนวพระสงฆ์ให้คุก เข่าลงแล้วคลานเข่าเข้าไปถวายผ้าไตรนั้นแก่ท่าน รับดอกไม้ ธูปเทียนแพเครื่องสักการะ (มีผู้ส่งให้ข้างหลัง) ถวายพระอุปัชฌาย์ กราบลง ๓ หน พระอุปัชฌาย์มอบผ้าไตรคืนให้ ประณมมือประคองผ้าไตร ยืนขึ้นว่า
อุกาสะ วันทามิ ภันเต // สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต // มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อนุโมทิตัพพัง // สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง // สาธุ / สาธุ / อนุโมทามิฯ
อุกาสะ การุญญัง กัตะวา / ปัพพัชชัง เทถะ เม ภันเตฯ
คำแปล
ขอโอกาสขอรับ กระผมขอกราบไหว้ ขอท่านโปรดยกโทษที่ได้ล่วงเกินทั้งปวงให้กระผมด้วย ขอท่านโปรดอนุโมทนาบุญที่กระผมได้กระทำ และขอท่านโปรดให้บุญที่ท่านได้ทำแก่กระผมด้วย สาธุ สาธุ กระผมขออนุโมทนาฯ
กระผมขอโอกาส เมื่อท่านมีความกรุณาแล้ว จงบวชให้ผมด้วยขอรับฯ
นั่งคุกเข่า ประณมมือว่า
อะหัง ภันเต ปัพพัชชัง ยาจามิ // ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต ปัพพัชชัง ยาจามิ // ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต ปัพพัชชัง ยาจามิ
คำแปล
ท่านขอรับ กระผมขอบรรพชา ท่านขอรับ แม้ครั้งที่สอง กระผมขอบรรพชา แม้ครั้งที่สาม กระผมขอบรรพชา
(ว่าต่อ) สัพพะทุกขะนิสสะระณะ / นิพพานะสัจฉิกะระณัตถายะ // อิมัง กาสาวัง คะเหตะวา // ปัพพาเชถะ มัง ภันเต // อนุกัมปัง อุปาทายะ (ว่า ๓ รอบ) ครบ ๓ รอบแล้วแล้วส่งผ้าไตรให้พระอุปัชฌาย์
คำแปล
ท่านขอรับ ขอท่านจงอนุเคราะห์รับผ้ากาสาวพัสตร์นี้ บวชให้กระผมด้วยเถิด เพื่อให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง กระทำพระนิพพานให้แจ้ง
(ว่าต่อ) สัพพะทุกขะนิสสะระณะ / นิพพานะสัจฉิกะระณัตถายะ // เอตัง กาสาวัง ทัตะวา // ปัพพาเชถะมัง ภันเต // อนุกัมปัง อุปาทายะ (ว่า ๓ รอบ)
คำแปล
ท่านขอรับ ขอท่านจงอนุเคราะห์คืนผ้ากาสาวพัสตร์นี้ บวชให้กระผมด้วยเถิด เพื่อให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง กระทำพระนิพพานให้แจ้ง
จากนั้น นาคโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ พระอุปัชฌาย์คล้องผ้าอังสะให้ จากนั้นนั่งพับเพียบลงประณมมือ ตั้งใจฟังโอวาทของพระอุปัชฌาย์ ในที่นี้จะขอนำคำกล่าวสอนนาคตามนัยเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร มาเป็นตัวอย่าง ดังนี้
"ขอให้ตั้งใจให้ดี ต่อไปนี้จะได้บวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา การบวชเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นความดี เมื่อเกิดเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นความดีแล้ว นอกจากจะได้ส่วนตัว ยังจะเป็นบุญ เป็นกุศล ไปถึงมารดาบิดาผู้มีพระคุณเป็นต้นอีกด้วย เมื่อบุญกุศลไปถึงแก่ท่าน ก็ชื่อว่าเป็นการตอบแทนพระคุณของท่าน โบราณจึงกล่าวว่า การบวชเป็นการตอบแทนพระคุณของมารดาบิดา และเมื่อบวชไปแล้วปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ชื่อว่าเป็นการทำชีวิตของผู้บวชนั่นเองให้ดีตามไปด้วย จึงขอให้ตั้งใจให้ดีตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
การบวชนั้นต้องทำตามแบบอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ ในเบื้องต้นท่านได้นำผ้ากาสาวพัสเข้ามา กล่าวคำขอบรรพชาว่า อหัง ภันเต ปัพพชัง ยาจามิ" แปลว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมขอบรรพชา หมายถึงการบรรพชาเป็นสามเณร ก่อนที่จะอุปสมบทบวชเป็นพระ
การบวชเป็นสามเณรจะสำเร็จได้ต้องอาศัยคุณสมบัติ ๒ ประการ คือ มีความเข้าใจในพระรัตนตรัยและมีความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า เมื่อมีคุณสมบัติ ๒ ประการนี้แล้ว เปล่งวาจารับไตรสรณคมน์ จบวาระที่ ๓ ก็สำเร็จเป็นสามเณร
เป็นเณรก็ดี เป็นพระก็ดี จะต้องรักษาข้อปฏิบัติซึ่งมีอยู่มาก จะรักษาได้ก็ต้องอาศัยใจ ใจต้องดีใจจะดีได้ต้องอาศัยการฝึกหัด เพราะฉะนั้น ผู้บวชใหม่จึงนิยมให้เรียนพระกัมมัฏฐาน มีบทภาวนา ๕ ประการ ขอให้ว่าตามดังต่อไปนี้"
เกสา // โลมา // นะขา // ทันตา // ตะโจ // เกสา แปลว่า ผมทั้งหลาย โลมา แปลว่า ขนทั้งหลาย นะขา แปลว่า เล็บทั้งหลาย ทันตา แปลว่า ฝันทั้งหลาย ตะโจ แปลว่า หนัง เพ่งคือนึกในใจ เพื่อป้องกันความฟุ้งซ่านรำคาญต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น นี้ว่าตามลำดับ หรือจะว่าทวนลำดับก็ได้ว่า ดังนี้ ตะโจ // ทันตา // นะขา // โลมา // เกสา // แต่เวลาปฏิบัตจริงๆ ว่ากันไปพร้อมกันทีเดียวทั้ง ๒ อย่าง ดังนี้ เกสา // โลมา // นะขา // ทันตา // ตะโจ // ตะโจ // ทันตา // นะขา // โลมา // เกสา //
เมื่อสอนกัมมัฎฐานจบแล้วพระอุปัชฌาย์มอบผ้าไตรคืนให้ นาคประณมมือคลานเข่าถอยหลังออกไป พอพ้นแนวพระสงฆ์แล้วยืนขึ้น หันหลังกลับแล้วเดินตามพระพี่เลี้ยงที่คอยช่วยเหลือออกไปครองผ้าในที่ๆ สมควร พระพี่เลี้ยงครองจีวรให้
จากนั้นกลับเข้าไปหาพระคู่สวด รับธูปเทียนแพเครื่องสักการะจากบิดามารดาถวายพระกรรมวาจาจารย์ (พระคู่สวด) กราบ ๓ หน ประณมมือยืนขึ้นเปล่งวาจาว่า
อุกาสะ วันทามิ ภันเต // สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต // มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อนุโมทิตัพพัง // สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง // สาธุ / สาธุ / อนุโมทามิ ฯ
อุกาสะ การุญญัง กัตะวา / ติสะระเณนะ สะหะ สีลานิ เทถะ เม ภันเต ฯ
คำแปล
ขอโอกาสขอรับ กระผมขอกราบไหว้ ท่านขอรับ ขอท่าน จงยกโทษที่ได้ล่วงเกินทั้งปวงให้กระผมด้วย ขอท่านพึงอนุโมทนาบุญที่กระผมได้กระทำ และขอท่านพึงให้บุญที่ท่านได้ทำแก่กระผมด้วย สาธุ สาธุ กระผมขออนุโมทนาฯ
ท่านผู้เจริญ ขอโอกาส ขอท่านจงมีความกรุณาให้ศีลพร้อมทั้งสรณะ แก่กระผมด้วยขอรับฯ
นั่งคุกเข่า ประณมมือขอสรณะและศีลว่า
อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ // ทุติยัมปิ อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิ // ตะติยัมปิ อะหัง ภันเต สะระณะสีลัง ยาจามิฯ
คำแปล
ท่านขอรับ กระผมขอสรณะและศีล ท่านขอรับ แม้ครั้งที่สอง ฯลฯฯ แม้ครั้งที่สาม กระผมขอสรณะและศีลฯ
ต่อจากนั้นให้ตั้งใจว่าตาม โดยพระกรรมวาจาอาจารย์กล่าวนำ นะโม ๓ จบ ดังนี้
นะโม ตัสสะ // ภะคะวะโต // อะระหะโต // สัมมา // สัมพุทธัสสะ ( นาคว่าตาม ๓ จบ)
คำแปล
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
พระอาจารย์กล่าวว่า "ยะมะหัง วะทามิ ตัง วะเทหิ" คำแปล ขอท่านจงว่าตามที่เราพูด
นาคตอบรับว่า อุกาสะ อามะ ภันเต // คำแปล ขอโอกาส ขอรับกระผม
จากนั้น พระกรรมวาจาจารย์เริ่มให้สรณคมน์ การให้สรณคมน์มี ๒ แบบ นาคว่าตามทีละวรรคไปจนจบทั้ง ๒ แบบ ดังนี้
แบบที่ ๑ เสียงแบบสันสกฤต
(บางวัดไม่ใช้แบบสันสกฤต)
พุทธัม // สะระณัม// คัจฉามิ // ธัมมัม// สะระณัม // คัจฉามิ
// สังฆัม// สะระณัม // คัจฉามิ// ทุติยัมปิ// พุทธัม// สะระณัม// คัจฉามิ// ทุติยัมปิ// ธัมมัม// สะระณัม// คัจฉามิ // ทุติยัมปิ// สังฆัม// สะระณัม// คัจฉามิ// ตะติยัมปิ// พุทธัม// สะระณัม// คัจฉามิ// ตะติยัมปิ// ธัมมัม// สะระณัม// คัจฉามิ// ตะติยัมปิ// สังฆัม// สะระณัม// คัจฉามิ
แบบที่ ๒ เสียงแบบบาลี
(แบบที่ใช้ทั่วในปัจจุบัน)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ// ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ// สังฆังสะระณัง คัจฉามิ ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ// ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ// ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ// ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ// ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ// ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
คำแปล
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าถึงพระธรรมว่าเป็นสรณะ ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะ แม้ครั้งที่สองฯลฯ แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมว่าเป็นสรณะ แม้ครั้งที่สาม ข้าพเจ้าขอถึงพระสงฆ์ว่าเป็นสรณะฯ
พระอาจารย์กล่าวว่า " ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง" คำแปล การถึงสรณะ ๓ จบลงแล้ว
นาคตอบรับว่า อามะ ภันเต // คำแปล ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ครับผม
พอถึงขั้นตอนนี้ให้ทราบว่า เป็นสามเณรเรียบร้อยแล้วสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว เนื่องจากความเป็นสามเณรสำเร็จได้ด้วยการเปล่งวาจาขอถึงพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด พอพระกรรมวาจาจารย์นำเปล่งวาจาประกาศตนว่าจะอาศัยพระรัตนตรัยเป็นที่พึงจบลง ด้วยคำว่า " ติสะระณะคะมะนัง นิฏฐิตัง" แปลว่า ไตรสรณคมน์จบลงแล้ว เราก็กล่าวว่า "อามะ ภันเต" เป็นคำรับว่า ครับผม นั่นเอง
ความเข้าใจเรื่อง ไตรสรณคมน์
พระพุทธศาสนามีที่พึ่งอันสูงสุดเรียกว่า ไตรสรณะ แปลว่า ที่พึ่ง ๓ ประการ หมายเอาพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไตรสรณะเป็นที่พึ่งอันสูงสุดเพราะที่พึ่งอื่นไม่สามารถช่วยดับความกระวน กระวายเร่าร้อนด้วยอำนาจกิลเลสได้ แต่ไตรสรณะสามารถดับความกระวนกระวายเร่าร้อน ทำให้พ้นทุกข์ทั้งมวลได้
ความเป็นสามเณรสำเร็จได้ด้วยการเปล่งวาจาขอถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะจบวาระ ที่ ๓ ก็สำเร็จเป็นสามเณรได้ การให้ไตรสรณะสมัยก่อนนั้นท่านให้ ๒ แบบ คือ ทั้งแบบสันษกฤต และแบบบาลี เนื่องจากผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรได้ต้องสามารถเปล่งวาจาขอถึงพระรัตนตรัยได้ อย่างถูกต้อง จึงจะสำเร็จเป็นสามเณรได้อย่างสมบูรณ์ หากไม่สามารถเปล่งวาจาขอถึงพระรัตนตรัยได้ ก็เป็นสามเณรไม่ได้ ผู้ที่จะสามารถเปล่งภาษาได้ถูกต้องและเข้าใจความหมายก็ต้องโตพอที่จะรู้ภาษา แล้ว
การกำหนดอายุของผู้บวชสามเณรจึงกำหนดเอาเด็กสามารถพูดและเข้าใจความหมายของ คำพูดได้ ท่านกล่าวว่าสามารถไล่กาและไก่ได้ คือ ผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรต้องรู้และเข้าใจภาษาจนสามารถแยกแยะออกว่าอะไรเป็นกา อะไรเป็นไก่
เนื่องจากสมัยก่อนคนไทยนับถือพระพุทธศาสนาทั้ง ๒ แบบ คือทั้งแบบมหายาน และเถรวาท มหายานใช้ภาษาสันษกฤตบันทึกและเผยแผ่คำสอน ส่วนเถรวาทใช้ภาษาบาลีบันทึกคำสอน ทั้งสันษกฤตและบาลีมีวิธีออกเสียงที่แตกต่างกัน เพื่อเป็นการป้องกันการเปล่งวาจาเพื่อเข้าถึงพระรัตนตรัยคลาดเคลื่อน อันจะเป็นเหตุให้การบวชสามเณรไม่สมบูรณ์ บุรพาจารย์จึงให้สวดไตรสรณคมน์ทั้งสองแบบ คือ ทั้งแบบสันษกฤษและแบบบาลีควบคู่กันไป
ในกรณีการเปล่งเสียงไม่ถูกตามหลักภาษาเพราะสำเนียงของชนชาติตน ไม่ได้หมายความว่าผู้บวชจะไม่เป็นพระเป็นเณร
ความเป็นจริงแล้ว แม้จะเปล่งวาจาไม่ตรงตามหลักภาษา การบวชก็เป็นอันสมบูรณ์เพราะเจตนาต้องการกล่าวอย่างนั้น และหมู่สงฆ์ก็เข้าใจความมุ่งหมาย แต่สำเนียงผิดเพี้ยนไปบ้างตามสำเนียงของชนชาตินั้นๆ การที่สำเนียงผิดเพี้ยนไปไม่ได้หมายความว่าผู้บวชจะไม่ได้เป็นพระเป็นสามเณร
เนื่องจากสำเนียงของชนชาติใดก็เป็นที่เข้าใจของชนชาตินั้น การเปล่งคำขอบวชก็เปล่งตามสำเนียงชนชาติของตน ๆ
ถ้าความคิดที่ว่าผู้ขอบวชเปล่งสำเนียงไตรสรณคมน์หรือคำขานนาคไม่ถูกต้องตาม หลักภาษา จะทำให้ผู้บวชไม่เป็นพระเป็นสามเณร ชาวฝรั่ง เขมร พม่า ลาว หรือแม้กระทั่งไทยเองบวชพระก็ไม่เป็นพระ เพราะทุกชนชาติที่กล่าวมานี้อ่านภาษาบาลีผิดเพี้ยนไม่เหมือนกัน ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ เสียงภาษาบาลีเป็นอย่างไร ต่างก็ออกสำเนียงตามภาษาของชนชาติตน ถึงอย่างนั้น ก็เป็นที่เข้าใจความหมายของคำนั้นๆ ได้
ในปัจจุบันได้ตัดการให้สรณคมน์แบบสันษกฤตออก เพราะเหตุผลตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากนั้น การให้สรณคมน์ทั้ง ๒ แบบยาวเกินความจำเป็น จึงยังคงไว้แต่การให้สรณคมน์แบบบาลีอย่างเดียว เราจะพบเห็นในการบำเพ็ญบุญในโอกาสต่างๆ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ยังมีวัดบางแห่งที่ยังคงใช้วิธีบรรพชาอุปสมบทแบบโบราณอยู่ตราบปัจจุบัน การให้ไตรสรณคมน์ก็ยังให้ทั้งแบบสันษกฤตและบาลี มิใช่เพราะกลัวว่าผู้บวชจะไม่เป็นพระเป็นสาเณร แต่เพื่อเป็นการรักษาตันติประเพณีแบบแผนการอุปสมบทแบบเดิมเอาไว้
เนื่องจากหากต่างคนต่างคิดที่จะตัดออกตามมติของตน ในอนาคตอาจไม่หลงเหลือร่องรอยการอุปสมบทแบบดั้งเดิมให้เห็นเลย
สามเณรสมาทานศีล ๑๐ ข้อ
ต่อจากการให้ไตรสรณคมน์แล้ว พระกรรมวาจาจารย์กล่าวนำให้สามเณรสมาทานสิกขาบท คือ ข้อปฏิบัติสำหรับสามเณร ๑๐ ประการ ว่าตามทีละข้อ ดังนี้
ข้อที่ ๑ ปาณาติปาตา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ
คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ข้อที่ ๒ อะทินนาทานา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ
คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการลักทรัพย์
ข้อที่ ๓ อะพรัหมะจะริยา เวระมณี สิกขาปะทังสะมาทิยามิฯ
คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการประพฤติผิดพรหมจรรย์
ข้อที่ ๔ มุสาวาทา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามฯ
คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการ
พูดเท็จ
ข้อที่ ๕ สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฎฐานา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ
คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการดื่มสุราและเมรัย
ข้อที่ ๖ วิกาละโภชะนา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ
คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้วจนถึงรุ่งอรุณขึ้นมาใหม่
ข้อที่ ๗ นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ
คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการร้องรำขับร้องประโคมดนตรีและดูและละเล่น
ข้อที่ ๘ มาลาคันธะวิเลปะนะทาระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฎฐานา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ฯ
คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการลูบไล้ทาด้วยของหอม ประดับประดาเครื่องแต่งกาย
ข้อที่ ๙ อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ
คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการนอนบนที่นอนสูงใหญ่
ข้อที่ ๑๐ ชาตะรูปะระชะตะปะฎิคคะหะณา เวระมณี // สิกขาปะทัง สะมาทิยามิฯ
คำแปล ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ว่าด้วยการเว้นจากการรับเงินและทอง
พระอาจารย์นำสามเณรกล่าวคำยืนยันความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามสิกขาบทตามที่สมาทานว่า
"อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ"
สามเณรกล่าวคำยืนยันที่จะปฏิบัติตาม ดังนี้
อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ //
อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ //
อิมานิ ทะสะ สิกขาปะทานิ สะมาทิยามิ //
คำแปล
ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท ๑๐ ประการนี้ฯลฯ
เมื่อกล่าวคำยืนยันความตั้งใจ เป็นการปฏิญาณที่จะรักษาศีล ๑๐ ประการอันจะทรงภาวะความเป็นสามเณรไว้จบ ๓ วาระแล้ว กราบ ๑ หนยืนขึ้นว่า
วันทามิ ภันเต // สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต // มะยา กะตัง ปุญญัง สามินา อนุโมทิตัพพัง//สามินา กะตัง ปุญญัง มัยหัง ทาตัพพัง //สาธุ/สาธุ / อนุโมทามิ ฯ
คำแปล
กระผมขอกราบไหว้ ท่านขอรับ ขอท่าน จงยกโทษที่ได้ล่วงเกินทั้งปวงให้กระผมด้วย ขอท่านพึงอนุโมทนาบุญที่กระผมได้กระทำ และขอท่านพึงให้บุญที่ท่านได้ทำแก่กระผมด้วย สาธุ สาธุ กระผมขออนุโมทนาฯ
สามเณรนั่งคุกเข่า กราบ ๓ หน จบพิธีการบวชเป็นสามเณรแต่เพียงเท่านี้ สำหรับผู้ที่จะบวชเป็นพระภิกษุ ก็เริ่มขั้นตอนการอุปสมบทต่อไป
จบพิธีบวชสามเณร
ที่มาจากหนังสือ ลูกผู้ชายต้องบวช ผู้แต่งญาณวชิระ