Website แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ให้บริการฤกษ์ยามชั้นสูงของโหราศาสตร์ภารตะจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ และได้ผลตอบรับดีสูงสุดเป็นปีที่ 15 แล้ว WebSite ของเราให้การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากยุโรป "SiteGuarding" บริการดูฮวงจุ้ย แก้ฮวงจุ้ย เสริมฮวงจุ้ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี***

Puk Duang 3

ผูกดวง คืออะไร เอาดวงไปผูกกับอะไร

คำว่า"ผูกดวงชะตา" เป็นคำที่คนเข้าใจผิดมากที่สุด จนเรื่องนี้ต้องออกมาอธิบายขายความ คำว่าผูกมีหลายความหมาย แต่คำว่าผูกดวงคือการคำนวณดวงชะตา ของคนใดคนหนึ่ง เพื่อการพยากรณ์หรือทำนายดวงชะตาเท่านั้น ไม่ได้แปลว่าเอาดวงไปผูกกับอะไร เช่น ในสมัยโบราณไม่ว่าจะเป็นไทย จีน อินเดีย การแต่งงานมักจะเป็นพ่อแม่จับคู่ให้ลูกเอง (คลุมถุงชน) จึงมีการผูกดวงดูคู่สามีภรรยา ก็ไม่ได้แปลว่าเอาดวงคู่สามีภรรยาไปผูกกัน ไม่ใช่เอาไปผูกมัดแบบวิชาไสยศาสตร์ แต่อย่างใด แต่เป็นการแยกการคำนวณดวงชะตาสามี 1 ดวง และภรรยา 1 ดวง และดูว่าดวงสองดวงสมพงษ์กันไหม เป็นคู่กันไหม สมควรแต่งกันไหม และมีจุดไหนที่ต้องแก้ และแก้อย่างไร แตปัจจุบันนี้ไม่มีอีกแล้ว

ผูก เป็น คำกริยา ความหมาย  ตามพจนานุกรมอธิบายดังนี้

    1.    เอาสิ่งที่เป็นเส้นอย่างเชือกเป็นต้นสอดพันกันให้เกิดเป็นเงื่อนเพื่อมัด รัด ผูก หรือทำให้ติดกันในตัว หรือติดกับสิ่งอื่น.  เช่น    "ผูกเชือกรองเท้า ผูกผม"

    2.    ประกอบเข้า, รวมเข้า.    "ผูกประโยค ผูกเรื่อง ผูกลาย"

แต่"ผูก" ณ ที่นี้เป็นคำโบราณแปลว่า ตั้งขึ้นมา เช่น ผูกปัญหา ผูกโจทย์ ก็คือตั้งปัญหาถึงถาม เมื่อมีการผูกก็ย่อมมีการแก้ ก็คือ แก้โจทย์ แก้ปัญหา  หากแก้ไม่ได้ก็มีการเฉลยปัญหา

ราศีต่างในโหราศาสตร์

ดังนั้นในวิชาโหราศาสตร์การจะดูดวงใครก็ต้องตาม ก็ต้อง ผูกดวง หรือ ตั้งดวง ขึ้นมาก่อน ซึ่งการตั้งดวง หรือ ผูกดวง จำเป็นจะต้องมีข้อมูลดังนี้ 1.วันเดือนปีเกิด 2.เวลาเกิด 3.สถานที่เกิด

แล้วจึงนำมาคำนวณ(ก็คือการผูกข้อมูลทั้ง 3 ข้อรวมกัน)  คำนวณเสร็จก็ได้ผลลัพธ์ขึ้นมาเป็นรูปดวงชะตา โบราณเรียก "เฉลิมรูปดวงชะตา" โดยมีรูปวงกลม มี 12ช่อง เรียกว่า "จักราศี" ซึ่งใช้ระบบ ดาราศาสตร์ ตามแนวคิดโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล (geocentrism หรือ geocentric model) และ 360 องศาและโดยรอบแบ่งเป็น 12 ราศีๆละ 30องศา

โดนช่องแรกด้านบนสุดเป็นราศีเมษ ช่องต่อด้านขวามือเป็นราศีพฤษภ มิถุน กรกฏ สิงห์ กันย์ ไล่ไปจนถึงช่องที่ 12 หรือช่องสุดท้ายก็จะเป็นราศีมีน

 

 

ดาวนพเคราะห์ในโหราศาสตร์

พอคำนวณเสร็จก็จะได้ตำแหน่งดวงดาว ณ วันเวลาเกิด ว่าในวันที่เราเกิด ดาวอะไรสถิตราศีอะไร ก็เอาไปใส่ช่องราศีต่างๆ คล้ายกับว่าตอนที่เกิด(เวลาตกฟาก) เราเอากล้องดูดาวไปถ่ายรูปท้องฟ้าตอนที่เราเกิดเอาไว้

ผลลัพธ์การคำนวน ก็จะรู้ได้ว่า ดาวอะไรอยู่ราศีอะไรกี่องศา กี่ลิปดา กี่ฟิลิปดา อยู่ในราศีไหนก็เอาชื่อดาว(ตัวย่อ) ไปใส่ในราศีนั้น ดาวทั้งหมดที่โหราศาสตร์ใช้และตัวย่อจะใช้ตัวอักษรหรือตัวเลขแทนก็ได้ เช่น

ดาวอาทิตย์ ใช้ อักษร อ. (ย่อมาจากบาลีว่า อาทิจฺโจ) ปัจจุบันมักจะใช้ตัวเลข ๑ แทน

ดาวจันทร์ ใช้ อักษร จ. (ย่อมาจากบาลีว่า จนฺโท)ใปัจจุบันมักจะใช้ตัวเลข ๒ แทน

ดาวอังคาร ใช้ อักษร ภ. (ย่อมาจากบาลีว่า ภุมโม)ปัจจุบันมักจะใช้ตัวเลข ๓ แทน

ดาวพุธ ใช้ อักษร ว. (ย่อมาจากบาลีว่า วุธโท)ปัจจุบันมักจะใช้ตัวเลข ๔ แทน

ดาวพฤหัส ใช้ อักษร ช.(ย่อมาจากบาลีว่า ชีโว) ปัจจุบันมักจะใช้ตัวเลข ๕ แทน

ดาวศุกร์ ใช้ อักษร ศ. (ย่อมาจากบาลีว่า ศุกโร)ปัจจุบันมักจะใช้ตัวเลข ๖ แทน

ดาวเสาร์ ใช้ อักษร ส. (ย่อมาจากบาลีว่า โสโร)ปัจจุบันมักจะใช้ตัวเลข ๗ แทน

ดาวราหู ใช้ อักษร ร. (ย่อมาจากบาลีว่า ราหุ)ปัจจุบันมักจะใช้ตัวเลข ๘ แทน

ดาวเกตุ ใช้ อักษร ก. (ย่อมาจากบาลีว่า เกตุ)ปัจจุบันมักจะใช้ตัวเลข ๙ แทน

ทั้งหมดมีจำนวน 9 ดวงเรียกว่าดาวนพเคราะห์ แต่สมัยใหม่ใหม่ใช้ ดาวมฤตยู เลข ๐ เนปจูน อักษร น. และดาวพลูโต อักษร พ. มาร่วมคำนวณด้วย

ซึ่งตำแหน่งดาวในราศีต่างๆนี้แต่ละคนจะไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับวันเดือนปีเกิด และช่องสี่เหลี่ยมตรงกลางคือองศาของดาวอาทิตย์ มักเขียนแบบนี้ว่า ๐๘/๔๑ หมายความว่าในดวงนี้ดาวอาทิตย์มีองศา 08 องศา 41 ลิปดา

ส่วนราศีที่ดาวอาทิตย์สถิตย์อยู่ก็ไปดูตามช่องราศี หาก เลข ๑ ดาวอาตย์ อยู่ช่องที่ 6 (ราศีกันย์) ก็จะแปลความได้ว่า ดาวอาทิตย์สถิตย์ราศีกันย์  ๐๘ องศา ๔๑ ลิปดา

เรือนและภพในดวงชะตา

เมื่อได้ตำแหน่งดวงดาวทั้งหมดแล้วก็จะมีมีการวาลัคนา ซึ่งลัคนาคือหัวจใจของดวงชะตาทุกคน เป็นจุดตั้งต้นของการทำนายดวงชะตา และเป็นจุดตั้งต้นของภพเรือนต่างๆ ที่โหรต้องเอาความหมายของภพเรือนและความหมายของ ดวงดาวมาดูความสัมพันธ์กันแล้วก็พยาการณ์ออกคำทำนายว่าเป็นเรื่องอะไร ดีร้ายอย่างไร

ภพเรือนที่ว่ามี 12 เรือน บอกเล่าเรื่องราวและความหมายทุกๆเรื่องของชีวิตเราทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย ซึ่งภพหรือเรือนมี 12 ภพ ดังนี้

เรือนชะตาที่ 1 ภพตนุ ความหมาย ตัวตน  ตัวตนในที่นี้หมายถึงร่างกาย หน้าตา จิตใจ นิสัยใจคอ บุคลิก  และความเป็นตัวตน

เรือนชะตาที่ 2 ภพกดุมภะหรือกฎุมพะ ความหมาย   สมบัติ ได้แก่ทรัพย์สินเงินทอง หรือครอบครัว 

เรือนชะตาที่ 3 สหัสชะ ความหมาย เพื่อน  พี่น้องฝ่ายชาย   การเดินทาวระยะใกล้

เรือนชะตาที่ 4 พันธุ ความหมาย  แม่ เผ่าพันธ์วงศ์ตระกูล การศึกษา

 เรือนชะตาที่ 5 ปุตตะ ความหมาย บุตร ความรัก การลงทุน โชคลาภ 

เรือนชะตาที่ 6 อริ ความหมาย ศัตรู  อุปสรรคต่างๆ โรคภัยไข้เจ็บ หนี้สิน  

เรือนชะตาที่ 7 ปัตนิ ความหมาย สิ่งที่สัมพันธ์กับกับตัวเรา  คู่ครอง การแต่งงาน คู่สัญญา หุ้นส่วน

เรือนชะตาที่ 8 มรณะ ความหมาย การจบสิ้น  การสูญเสีย การถูกทำลาย  มรดก  การติดคุกตะราง 

เรือนชะตาที่ 9 ศุภะ ความหมาย พ่อ บิดา ชื่อเสียง คุณงามความดี ครูอาจารย์ การเดินทางไกล กฏหมาย คดีความ

เรือนชะตาที่ 10 กัมมะ ความหมาย การงาน อาชีพ เกียรติและยศอันได้มาจากหน้าที่การงาน ความเชี่ยวชาญ

เรือนชะตาที่ 11 ลาภะ ความหมาย ลาภผล การได้มา ความสำเร็จ  พี่น้องฝ่ายหญิง

เรือนชะตาที่ 12 วินาศ ความหมาย ความวิบัติ การใช้จ่าย การเสียทรัพย์  การหลุดพ้นจากปัญหาต่างๆ เช่น หายจากโรคภัย หลุดพ้นจากหนี้สิน

ความหมายต่างๆเหล่านี้เป็นคามหมายโดยย่อเท่านั้น แต่ความหมายจริงๆมีนับพันๆความหมาย การพยากรณ์จึงจะครอบคลุมครบทุกด้านและในทุกมิติของชีวิต

ผูกดวงวางลัคนา

ลัคนา นั้นคำนวณมาจากเวลาตกฟาก หรือเวลาเกิด ซึ่ง จะใช้ตัวย่อว่า ลั หมายถึงลัคนา หรือไม่ก็เขียนตวัดกลายเป็น ส เสือ หรือไม่ก็เขียนอักษรขอมแทน  ส่วนนาฬิกาตามบ้านเรือนเพิ่มจะมีมาไม่เกิน 100 ปีนี้เอง แต่สมัยโบราณในเมืองใหญ่ๆ หรือในพระราชวัง ในเทวสถานก็จะมีนาฬิกาโบราณ เรียกว่า นาฬิเก คำนวนเวลาในแต่ละวัน ซึ่งก็แม่นยำเหมือนนาฬิกาปัจจัน แต่คนทั้่วไปเข้าไม่ถึง ดังนั้นสมัยก่อนจึงไม่ค่อยมีเวลาเกิด จำได้แต่ เกิดเวลาใกล้รุ่ง เกิดเวลาพระบิณฑบาตร เวลาต้อนวัวเข้าคอก เวลาพระตีกลองเพล

หากไม่มีเวลาเกิด ก็ยากที่จะหาลัคนาจริงๆได้ โหรโบราณจึงมีเทคอื่นๆมาทดแทน เช่น โหราศาสตร์ภารตะระบบไชมิณี หรือโหราศาสตร์ภารตะของพระเวท ก็จะใช้หลักวิชาคำนวณหาเวลาเกิด เช่นวิชา สาธุ ปัทธะติ  साधु पद्धति หรือใช้วิชา จันทรา นวางศะ ปัทธะติ หรือก็ยุคใหม่ ใช้ ระบบโหราศาสตร์ KP ของท่านกฤษณามูรติ และโหรเองก็ต้องเทียบ เหตุการณ์ที่สำคัญต่างๆที่เกิดขึ้นในดวงชะตา เช่น วันแต่งงาน มีลูก อุบัติเหตุ เจ็บป่วย การได้งานทำครั้งแรก เพื่อมาหาเวลาเกิดที่แท้จริง

แต่ที่สำคัญเวลาเกิดก็ต้องใช้สถานที่หรือจังหวัดที่เกิดมาคำนวณด้วย เพราแต่ละที่มีเวลาท้องถิ่นไม่เท่ากัน สำหรับประเทศไทยใช้เวลามาตรฐานประเทศไทยเป็นเวลาเดียวกันทั่วประเทศ คือเวลา UTC+07:00  ซึ่งเวลาที่เราใช้กันทั่วประเทศนี้เป็นเวลาท้องถิ่นของ จังหวัดอุบลราชธานี ตั้งอยู่ที่ลองติจูด 105 องศาตะวันออก (อำเภอโขงเจียม) ดังนั้นเวลาที่กรมอุทกศาสตร์กองทัพเรือ หรือเวลาที่ปรากฏในมือถือ หรือ คอมพิวเตอร์ของเรา เป็นเวลาของจังหวัดอุบลราชธานี ไม่ใช่เวลาท้องถิ่นของกรุงเทพ หรือจังหวัดอื่น ซึ่งเวลาท้องถิ่นของกรุงเทพกับจังหวัดอุบลต่างกัน - 18 นาที หมายความว่าหาเราเกิดที่ กทม เวลา 08.00 น. ก็ต้องเอา -18 นาที จึงจะเป็นเวลาเกิดจริงที่ กทม คือเวลา 07.42 น. แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องเพราะโหรเดี๋ยวนี้มีโปรแกรมตัดเวลาให้เองโดยอัตโนมัติ แค่บอกจังหวัดที่เกิด โหรก็คำนวนหาเวลาท้องถิ่นจังหวัดนั้นๆได้เอง

พอได้วันเดือนปีเกิด เวลาเกิดจังหวัดที่เกิดครบ โหรก็จะผูกดวงวางลัคนา ได้ ซึ่งการวางลัคนา ก็มีหลายแบบหลายวิธี หลายปฏิทิน ทำให้ไปผูกดวงกับโหรท่านหนึ่ง ลัคนาตกราศีมิถุน ไปผูกดวงกับโหรอีกท่าน ลัคนากลับเป็นราศีกรกฏ แต่ก็ไม่ต้องสนใจ

อันนี้เป็นวิธีการของโหรแต่ละท่าน ขอให้ท่านทำนายมาให้ถูกต้องแม่นยำก็พอแล้ว เราไม่ต้องกังวล เพราะคนก็มีลัคนา(เรือนตนุ)คาบเกี่ยว 2 ราศี ไม่ว่าทายราศีไหนก็ไม่ผิด

 

Puk Duang 2

เวลาตกฟากคืออะไร

ฟาก คำนาม 1. ซี่ไม้ไผ่สำหรับปูพื้นเรือน มีทั้งชนิดฟากสับ คือ ผ่าลำไม้ไผ่ออกมาแล้วทุบให้แบน และชนิดฟากซี่ที่ผ่าไม้ไผ่เป็นซี่เล็ก ๆ แล้วถักให้เป็นผืนด้วยหวาย หรือเชือก.

ความหมายก็คือเวลาเกิด หรือเวลาคลอดนั่นเอง คำว่าตกฟาก คือเวลา เด็กคลอดแล้วศีรษะตกถึงพื้นเรือน ก็คือการนับเวลาตกถึงฟาก(พื้นเรือน) แต่อีกความหมายหนึ่ง”ฟาก”มีลักษณะคล้ายกระด้งสานด้วยไม้ไผ่หรือเชือกปอ เอาไว้รองศีรษะเด็กเวลาคลอดออกมา ซึ่งไม่ใช่พื้นบ้านอย่างแน่นอน 

ซึ่งอินเดียในสมัยโบราณมักจะต้องยืนคลอด เพราะจะช่วยให้ศีรษะเด็กไหลลงมาข้างล่างได้ง่ายขึ้น จะเห็นภาพพระพุทธเจ้าตอนประสูติ ก็เห็นพระนางสิริมหามายาทรงยืนเหนี่ยวกิ่งต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน แต่คนไทยสมัยก่อนก็เป็นการกึ่งนั่งกึ่งนอน มือดึงผ้าที่โยงกับขื่อเอาไว้ แล้วก็เอาฟากมารองเด็ก

ปัจจุบันมักจะผ่าคลอดเป็นหลัก จึงไม่มีเวลาตกฟาก มีแต่เวลาเอารกออกจากครรภ์มารดา แล้วเราจะขานเวลาเกิดได้อย่างไร จะนับเอาเวลาไหนเป็นเวลาเกิดหรือตกฟาก เพื่อคำนวณลัคนา

การบันทึกเวลาตกฟากของฤกษ์ผ่าคลอดฤกษ์ผ่าคลอด

ส่วนการกำหนดว่า จุดไหนคือจุดที่นับว่าเป็นฤกษ์กำเนิด  หรือ เวลาตกฟาก(ลัคนา) ซึ่งมี หลายฝ่ายที่มีความคิดแตกต่างกันในเรื่องของเวลาคลอดว่าจะเอาเวลาไหนเป็นเวลา ตกฟาก(เวลาคลอด)กันแน่ซึ่งเวลาตกฟากนี้แหละเป็นจุดเริ่มต้นของลัคนาในดวง ชาตา โดยมีหลายคติ ดังนี้

1.อาธานะ ลัคนา หมายเอาเวลาร่วมสังวาสกัน (กำหนดฤกษ์ปฏิสนธิ) แล้วเอาเวลานั้นมาคำนวณแล้วหาวัน-เวลากำหนดคลอด ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีหาฤกษ์คลอดแบบโบราณและสามารถคำนวนวันเวลาคลอดได้อย่าง แม่นยำ ปัจจุบันแทบไม่มีแล้ว

2.ศิโรทัศนา ลัคนา หมายเอาเวลาที่ศีรษะเด็กโผล่ออกมาจากช่องคลอด

3.ภูปาตนะ ลัคนา(ฤกษ์ผ่าคลอด) หมายเอาเวลาที่ตัวเด็กพ้นออกมาจากครรภ์มารดาอย่างสมบูรณ์ทั้งตัว (ไม่เกี่ยวกับสายรก) ซึ่งทางอาศรมฯของเรา ถือมตินี้เป็นหลักในการบันทึกเวลาคลอด โดยอ้างอิงจากวาทะ ของสัตยาจารย์ โหราจารย์ของฮินดูเมื่อหลายพันปีก่อนแนะนำให้ถือเอามตินี้เป็นหลักในการ บันทึกเวลาตกฟากเพื่อวางลัคนา

ซึ่ง ทางกฎหมายปัจจุบันให้คำจำกัดความในเรื่องคำว่า “คลอด”เพื่อระบุสภาพบุคคลทางกฎหมาย  “คลอด” หมายความว่า คลอดออกมาจากครรภ์มารดา ล่วงพ้นจากครรภ์มารดาออกมาอย่างสมบูรณ์แล้วทั้งตัว ไม่มีอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดของทารกติดค้างอยู่ จะตัดสายสะดือทารกแล้วหรือยัง ไม่เป็นข้อสำคัญ กฎหมายถือว่า คลอดโดยสมบูรณ์แล้ว

4.การร้องไห้ของทารก ในบางมติถือว่า เมื่อคลอดแล้วทารกต้องร้อง และเอาเวลาร้องไห้ของทารกนั้น นับเป็นเวลาตกฟาก  ส่วนในทางกฎหมายนับการหายใจของทารก นับเป็นสภาพบุคคลตามกฎหมาย (คลอด-อยู่รอดเป็นทารก)สรุป..ในหลักโหราศาสตร์ฮินดูภารตะ การนับเวลาตกฟากให้ใช้ข้อ 3 เป็นหลักในการบันทึกเวลาตกฟากซึ่งตรงกับหลักกฎหมายในปัจจุบันว่าด้วยสภาพบุคคลและตรงตามหลักของโหรโบราณ

-----------------------------------------------------------------------------