บทที่ 1
ระบบจักรราศีและดาวเคราะห์
1. จักรราศี จักรราศี คือ เขตที่กำหนดเป็นเส้นทางรวมกันโอบอยู่โดยรอบเป็นรูปวงกลมในท้องฟ้า มีระยะจากสุริยวิถีข้างละ 9 องศา เรียกว่าภาจักรหรือรังศีมณฑล เป็นวงกลมที่ไม่มีต้นและปลาย เพื่อสะดวกแก่การกำหนดระยะ จึงตั้งจุดเริ่มต้นเป็นหมายจุดตายตัวขึ้น เรียกจุดนี้ว่าจุดต้นของเมษ จักรราศีหมุนอยู่รอบเป็นรูปวงกลมในท้องฟ้า มีระยะจากสุริยวิถีข้างละ 9 องศา เรียกว่าภาจทรหรือรังศีมณฑล เป็นวงกลมที่ไม่มีต้นและปลาย เพื่อสะดวกแก่การกำหนดระยะ จึงตั้งจะจุดเริ่มต้นเป็นหมายจุดตายตัวขึ้น เรียกจุดนี้ว่าจุดต้นของเมษ จักรราศีหมุนอยู่รอบแกนวันละรอบ จากตะวันออกไปตะวันตก.
2. สุริยวิถี สุริยวิถี คือ ทางโคจรของอาทิตย์ เรียกว่าอปมณฑลหรือระวิมรดา เป็นทางตรงผ่านตลอดศูนย์กลางของเส้นทางรอบจักรราศี.
3. ราศีในจักรราศี ในห้วงเวหาของสุริยวิถีแบ่งออกเป็น 12 ภาค เรียกว่าแต่ละภาคว่าราศี ราศีหนึ่ง ๆ มีระยะเขต 30 องศา และเฉพาะราศีหนึ่ง ๆ มีคุณภาพพิเศษต่าง ๆ กัน ที่ได้กล่าวถึงระเบียบการตั้งจุดเริ่มต้นมาแล้วในข้อ 1 นั้น การตั้งต้นของจักรราศี กะตั้งต้นเอาที่จุดแรกของราศีเมษ และราศี 1 กะระยะไว้ 30 องศา องศาหนึ่งแบ่งออกเป็น 60 ลิปดา ๆ หนึ่งแบ่งออกไปอีกเป็น 60 พิลิปดา ดังนั้นระยะทั้งหมดโดยรอบของจักรราศีได้ 12600 ลิปดา หรอ 129600 พิลิปดา.
4. นักษัตร เขตของสุริยวิถีมีกลุ่มดาวหรือนักษัตร 27 กลุ่มเป็นที่หมาย กลุ่มดาวหรือนักษัตรเหล่านี้ เรียกกันว่าที่อาศัยของดวงจันทร์ เพราะดวงจันทร์ต้องอาศัยจรผ่านเข้าในกลุ่มนักษัตรเหล่านี้ครบทั้ง 27 นักษัตรจึงได้ 1 รอบวงจร ดังนั้นดวงจันทร์จึงสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับนักษัตรทั้ง 27 นี้ เมื่อจันทร์ผ่านกลุ่มนักษัตรในสุริยวิถีครบ 27 นักษัตรหรือครบรอบหนึ่ง ก็เป็นที่หมายว่าได้ 1 เดือนจันทร์คตินักษัตรหนึ่งแบ่งออกเป็น 4 ส่วน เรียกส่วนนั้น ๆ บาทหรือจัตุภาค และบาทหนึ่งเท่ากับ 3 * 1/3 องศาของเรขา (จักรราศีหรือเส้นโค้งของวงจักรวาล) หรือว่าทั้งจักรราศีประกอบด้วย 108 บาท ดังนั้นนักษัตรหนึ่งได้ 13 องศา 20 ลิปดาของเรขา ราศี
2 โหราวิทยา
และนักษัตรทั้ง 2 อย่างถือเอาจุดเริ่มต้น ณ ที่เดียวจุดเดียวกันที่จุดทีฆันดร (แวง) 0 องศาของราศีเมษ จุดนี้คือจุดเริ่มต้นของราศีเมษ (ดูบท 2) และเป็นจุดเริ่มต้นของนักษัตรอัสวิณีด้วย หมายความว่าทั้งราศีและนักษัตรร่วมจุดเริ่มต้นจุดเดียวกัน.
5. ระบบดาวเคราะห์ ระบบดาวเคราะห์ก็คือระบบสุริยะ โดยมีดาวเคราะห์มีรัศมีแรงกล้า คือดวงอาทิตย์เป็นประธาน ประกอบด้วยดาวเคราะห์สำคัญ 7 ดวง (รวมทั้งอาทิตย์เองด้วย) ดาวเคราะห์ทุกดวงรักษาศูนย์กลางของการหมุนเวียนและศูนย์กลางที่ได้รับแสงโชติช่วงไว้ได้ ด้วยถูกดึงดูดจากกำลังของอาทิตย์และเคลื่อนไปเป็นวงอยู่รอบดวงอาทิตย์ ระยะเวลาที่ดาวเคราะห์เคลื่อนไปจากจุดหนึ่งถึงอีกจุดหนึ่งไม่เท่ากัน เปลี่ยนไปตามเหตุเฉพาะของแต่ละดาวเคราะห์ ในระบบดาวเคราะห์นี้มีราหูและเกตุร่วมอยู่ด้วยโดยถืออปรกาศะเคราะห์ (ดาวเคราะห์ไม่มีแสง) ยิ่งกว่านั้นความสำคัญของดาวเคราะห์ทั้ง 2 นี้ ในทางโหราศาสตร์ก็ไม่ยืนยัน เพราะดูเหมือนว่าเมื่อเข้าไปสถิตราศีใด ก็เป็นแต่เพียงคล้อยตามสัญลักษณ์ของราศีที่เข้าไปสถิตนั้น นักศึกษาต้องพยายามสังเกตผลปรากฎการณ์ของดาวเคราะห์ทั้ง 2 นี้ จากการวิเคราะห์ดวงชะตา.
ดาวเคราะห์เสาร์อยู่ห่างไกลจากพื้นปฐมพีมากที่สุด ต่อมาพฤหัสบดี อังคาร อาทิตย์ ศุกร์ พุธ และจันทร์ใกล้เข้ามาตามลำดับ.
6. การหมุนเวียนและอาการหมุน ท่านโบราณจาริย์ ได้สังเกตพบเห็นว่า อาการเคลื่อนไหวของแต่ละดาวเคราะห์ ได้ก่อให้เกิดอิทธิพลเหนือปรากฏการณ์ของภาคพื้นปฐมพี เพราะดาวเคราะห์ทุกดวง รับกำลังดึงดูดและแสงโชติช่วงจากอาทิตย์ ดาวเคราะห์ดำเนินการเคลื่อนไหวพร้อมกัน 2 อย่าง ภาคะนะและภระมนะ.
ภาคะนะ คือการเคลื่อนไหวไปรอบดวงอาทิตย์ เพื่อรักษาศูนย์กลางของกำลังดึงดูดและศูนย์กลางของแสงโชติช่วง ในขณะที่ดาวเคราะห์กำลังเคลื่อนไปก็เกิดคลื่นในอากาศหรืออากาศเกิดเป็นคลื่น.
ภระมนะ คือ อาการที่ดาวเคราะห์หมุนรอบตัวเอง เพื่อรักษาอาการทรงตัวทางดิ่ง ในขณะที่หมุนก็เกิดแรงเหวี่ยงกระจาย กระแสของวัตถุส่วนประสมในตัวเอง
ระบบจักรราศี 3
แปรเป็นกระแสอิทธิพลเข้าประสมร่วมกับคลื่นอากาศ และคลื่นนี้พร้อมด้วยกระแสอิทธิพลส่งตัวเองทยอยกันมากระทบพื้นปฐพี ให้เกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ สุดแท้แต่กระแสของวัตถุประสม หรือรวมความว่าคุณภาพของดาวเคราะห์นั้น ๆ .
ภาคะนะและภระมนะอาการเคลื่อนไหว 2 ประการของดาวเคราะห์ และรวมทั้งของโลกด้วย ต่อไปจะใช้คำว่าโคจรเป็นความหมาย.
7. กำลังโคจรของดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์แต่ละดาวเคราะห์มีกำลังเร็วในการโคจรของตัวเอง โดยยึดหลักระยะใกล้ไกลจากโลก เช่นดาวเคราะห์จันทร์เป็นตัวอย่าง ดาวเคราะห์จันทร์อยู่ใกล้กับเรามากที่สุด และดังนั้นจึงโคจรไปอย่างรวดเร็ว ดาวเคราะห์จันทร์โคจรไปรอบจักรราศี 1 รอบประมาณ 30 วันจันทร์คติ เสาร์ซึ่งอยู่ไกลที่สุดจากโลก มีอาการโคจรอย่างเชื่องช้า และดังนั้นเสาร์โคจรรอบจักรราศี 1 รอบประมาณ 30 ปี ดาวเคราะห์ไม่อาจรักษากำลังโคจรให้เสมอคงที่อยู่ได้เพราะเหตุหลายประการ ต่อไปนี้ เป็นระยะเวลาที่ดาวเคราะห์โคจรไปได้ 1 รอบจักรราศีโดยประมาณ.
อาทิตย์โคจรประมาณอย่างหยาบได้ 1 องศาต่อ 1 วัน หรือ 365วันต่อ 1 รอบจักรราศี จันทร์โคจรได้ 1 รอบจักรราศีต่อ 27 วัน 1 ชั่วโมงเศษ อังคารประมาณระหว่าง 45 ถึง 60 วันต่อ 1 ราศี พุธประมาณระยะเวลาไล่เลี่ยกับอาทิตย์ แต่โดยเหตุที่พุธอยู่ใกล้อาทิตย์ พุธมักจะมีอาการโคจรไม่คงที่ เฉลี่ยผลอย่างหยาบในราว 27 วันต่อ 1 ราศี พฤหัสบดีประมาณอย่างหยาบ 12 ปีต่อ 1 รอบจักรราศี ศุกร์บางทีก็น้อยบางทีก็มากกว่าอาทิตย์ เสาร์ประมาณ 30 เดือนต่อหนึ่ง 1 ราศี ราหูและเกตุ 18 เดือนต่อ 1 ราศี หรือ 18 ปีต่อ 1 รอบจักรราศี ทิศทางโคจรของดาวเคราะห์ทุกดวงเป็นสัพยะ (ทางโคจรธรรมชาติของดาวเคราะห์) แต่ของราหูและเกตุเป็นอปสัพยะคติ (โคจรในทิศตรงข้ามคือจากตะวันออกสู่ตะวันตก)
4 โหราวิทยา
กำลังโคจรของดาวเคราะห์
ดาวเคราะห์ องศา ลิปดา พิลิปดา ปะระ ปะราตะปะระ ตาตะปะระ
อาทิตย์ วันละ 0 59 8 10 10 24
จันทร์ ,, 13 10 34 52 3 49
อังคาร ,, 0 31 26 28 11 9
พุธ ,, 1 5 32 20 41 51
พฤหัสบดีบี ,, 0 4 59 8 48 35
ศุกร์ ,, 1 36 7 43 37 17
เสาร์ ,, 0 2 0 22 53 25
60 ดาตะปะระเป็น 1 ปะราตะปะระ 60 ปะราตะปะระเป็น 1 ปะระ 60 ปะระเป็น 1 พิลิปดา 60 พิลิปดาเป็น 1 ลิปดา 60 ลิปดาเป็น 1 องศา 30 องศาเป็น 1 ราศี.
กำลังโคจรของดาวเคราะห์ข้างบนนี้ คัดมาจากคัมภีร์โหราศาสตร์แต่โบราณสมัย เฉพาะเรื่องนี้ต้องศึกษาต่อไปอีกมากจึงจะทราบรายละเอียด
8. พักร์และเสริด เมื่อดาวเคราะห์ใดทิ้งระยะห่างจากอาทิตย์มากขึ้นกำลังเคลื่อนของดาวเคราะห์นั้นจ้าลงหรือถึงถอยหลัง (พักร์) คือเมื่อดาวเคราะห์ออกอยู่นอกทางที่อยู่ ในระยะใกล้ชะตากับดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นทางโคจรธรรมชาติของดาวเคราะห์นั้นเอง เพราะเมื่อถอยออกห่างจากอาทิตย์ดาวเคราะห์นั้นก็เสียกำลังดึงดูดที่ได้จากอาทิตย์ไปทีละเล็กละน้อย เพื่อให้ได้กำลังนั้นคืนมาดาวเคราะห์จึงมีอาการพักร์ และเมื่อดาวเคราะห์โตเคลื่อนจากระยะไกลอาทิตย์เข้าระยะใกล้กับอาทิตย์ ยิ่งใกล้เข้าไปก็ได้กำลังดึงดูดจากอาทิตย์มากขึ้น ดังนั้นกำลังเคลื่อนของดาวเคราะห์อยู่ในข่ายของพักร์และเสริด เว้นแต่อาทิตย์และจันทร์และยกเว้นอประกาศะเคราะห์ (ราหู – เกตุ) เราได้พบว่ากำลังเร็วในอาการเคลื่อนของดาวเคราะห์ไม่เท่ากัน โดยที่
ระบบจักรราศี 5
แตกต่างกันในส่วนต่าง ๆ ของวิถีโคจรและทั้งวิถีโคจรก็เป็นวงรี พักร์และเสริด ฯลฯ เป็นผลที่เนื่องมาแต่เหตุจากกำลังกดดันเร้นลับของดีโครช์ชะหรือคีฆรอุจจ, มนะโทช์ชะ และปฏะ (มีบรรยายในสุริยสิทธานต์)
ความสำคัญของพักร์ ฯลฯ ของดาวเคราห์กว้างขวางมากเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความหมายทางโหราศาสตร์ นักศึกษาจะต้องถือเอาที่สถิตที่ถูกต้องของดาวเคราะห์เป็นสำคัญ ปรากฏการณ์ของพักร์มีบรรยายความสำคัญละเอียดในตำรากำลังดาวเคราะห์และเรือนชะตา.