คัมภีร์ปาริชาตชาดก บทที่ ๗ ว่าด้วยราชาโชค โศลกที่ ๑๑๓-๑๒๗
จันทราธิโยค
โศลกที่ ๑๑๓
ถ้ามีศุภเคราะห์อยู่ในภพที่ ๖-๗ และ ๘ จากลัคนา จากจันทร์ในชะตา เรียกว่าได้จันทระอธิโยค หรืออธิโยคจากจันทร์ ซึ่งท่านกล่าวว่าจะได้เป็นใหญ่ เช่นเป็นขุนนาง รัฐมนตรี หรือขุนพล มีความรุ่งเรือง มีความผาสุก สามารถที่จะชนะศัตรูได้อย่างง่ายดาย จะมีอายุยืนยาวกว่า ๗๐ ปี จะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน มีสุขภาพดี ไม่มีวิบัติหรือภยันตรายอย่างใด
หมายเหตุ
ศุภเคราะห์นอกจากจันทร์ก็ยังเหลือสามดวงคือพุธ พฤหัสบดีและศุกร์ ท่านว่าพุธ
พฤหัสบดี และศุกร์ ทั้งสามพระเคราะห์นี้ต้องอยู่ในภพที่ ๖-๗ และ ๘ จากจันทร์ทั้งสามดวง คือภพละดวง แต่อะไรจะอยู่ภพไหนนั้นแล้วแต่ท่านจะคิดเอาเอง ตามความเห็นของข้าพเจ้าคิดว่าเป็นไปได้คือสมมุติให้จันทร์อยู่เมษ อาทิตย์อยู่สิงห์ พุธอยู่กันย์ ศุกร์อยู่ตุลย์และพฤหัสบดีอยู่พิจิก จะห็นได้ว่าศุภเคราะห์นั้นแยกกันทุกราศีในภพที่ ๖-๗ และ ๘ จากจันทร์ และต่างก็ไม่ร่วมกับบาปเคราะห์ใดๆด้วย เรื่องจันทระอธิโยคนี้มีผู้รู้ได้ให้ความเห็นแตกต่างกันไปอีกมากมายด้วย แต่สำหรับโศลกนี้มีความหมายตามที่กล่าวมานี้เท่านั้น
ลัคนาธิโยค
โศลกที่ ๑๑๔
ถ้ามีศุภเคราะห์อยู่ในภพที่ ๖-๗ และ ๘ จากลัคนา และศุภเคราะห์เหล่านั้นไม่ร่วมหรือรับแสงจากบาปเคราะห์ด้วย บาปเคราะห์ต้องไม่อยู่ในภพที่ ๔ จากลัคนา ท่านว่าเจ้าชะตาได้ลัคนาธิโยค หรืออธิโยคจากลัคนา ฯ
หมายเหตุ
อธิโยคจากลัคนาก็เป็นไปในทำนองเดียวกับอธิโยคจากจันทร์ ท่านบังคับไว้ว่าบาปเคราะห์ต้องไม่อยู่ในภพที่ ๔ จากลัคนา และต้องไม่ร่วมหรือให้แสงถึงศุภเคราะห์ด้วย บาปเคราะห์ที่สำคัญก็คืออาทิตย์ อังคารและเสาร์ มีทางเป็นไปได้คือสมมุติให้ลัคนาอยู่เมษ กุมจันทร์ตามตัวอย่างที่ยกมาแล้ว มีเสาร์อยู่เมถุน และมีอังคารอยู่มังกร
โศลกที่ ๑๑๕
ผู้ใดเกิดมาได้ลัคนาธิโยค จะเป็นผู้มีความรู้เด่นหลายประการในวิชาต่างๆและจะเป็นคิดค้นพบสิ่งใหม่ๆเกี่ยวกับวิชาการต่างๆ เป็นผู้คงแก่เรียน ชอบค้นคว้าหาเหตุผล จะได้เป็นนายคน จะเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังเกี่ยวกับการค้นคว้าทางหลักวิชา หรือการก่อสร้างที่สำคัญในโลก มีความเจริญรุ่งเรือง ชีวิตประสบความสำเร็จ เป็นที่ชอบพอรักใคร่ของผู้ใหญ่ทั่วไป ฯ
คชเกสะรีโยค
โศลกที่ ๑๑๖
ถ้าพฤหัสบดีอยู่ในภพเกนทระจากพระจันทร์ โยคที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า คชเกสะรีโยค หรือถ้าจันทร์ในชะตาได้รับแสงจากศุกร์ พฤหัสบดี และพุธ โดยจันทร์ไม่อยู่ในตำแหน่งนิจ หรืออัสตะ ก็เรียกว่าชะตาได้ คชเกสะรีโยคเช่นกัน ฯ
โศลกที่ ๑๑๗
ผู้ใดมีคชเกสะรีโยคในชะตา จะเป็นคนทะมัดทะแมง ขยันขันแข็งเอาการเอางาน มีฐานะดีมั่งคั่งสมบูรณ์ทรัพย์ มีพืชพันธุ์ธัญญาหารมากมาย เป็นคนฉลาดหลักแหลม มีศีลธรรม และเป็นที่โปรดปรานของราชาเป็นอย่างดียิ่ง ฯ
หมายเหตุ
คำว่า คช หมายความว่าช้าง เกสะรีหมายความถึงสิงโต เพราะฉะนั้นความหมายของคช เกสะรี ก็หมายถึงการต่อสู้กันระหว่างพระยาราชสีห์กับพระยาช้างสาร หรือการต่อสู้ระหว่างสิงโตกับช้าง ผลปรากฎว่าช้างเป็นฝ่ายปราชัย และความหมายของโยคนี้เปรียบเจ้าชะตาว่าเป็นสิงห์โต ซึ่งตามปกติแล้วไม่ทำร้ายช้าง แต่เมื่อเกิดสู้ช้างขึ้นมา ช้างนั่นแหละจะเป็นฝ่ายปราชัย บางท่านให้ความหมายว่าผู้ใดที่ได้คชเกสะรีโยค ไม่รังแกผู้น้อย แต่มักผิดใจกับนายใหญ่ๆเสมอ
อมลาโยค
โศลกที่ ๑๑๘
ในดวงชะตาถ้ามีศุภเคราะห์อยู่ในภพที่ ๑๐ จากลัคนา หรือจันทร์ เจ้าชะตาจะมีชื่อเสียงเกียรติยศปรากฎอยู่อย่างรุ่งโรจน์ โดยปราศจากมลทินใดๆทั้งสิ้น และความดีเด่นต่างๆของเจ้าชะตาจะไม่เสื่อมสิ้นไปเลย แม้เจ้าชะตาตายไปแล้วก็ตาม ฯ
โศลกที่ ๑๑๙
ถ้ามีศุภเคราะห์อยู่ในภพที่ ๑๐ จากลัคนา หรือจันทร์ เจ้าชะตาจะได้อะมะละโยค เจ้าชะตาจะมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ปรากฎในแผ่นดินชั่วฟ้าดินสลาย หรือตราบจนดาวต่างๆจะพินาศสิ้นไป ฯ
โศลกที่ ๑๒๐
ผู้ใดในชะตามีอะมะลาโยค จะเป็นที่พอใจและเคารพนับถือของผู้ยิ่งใหญ่และราชา จะมีความผาสุก มั่งคั่งและสมบูรณ์ทรัพย์อย่างมหาศาล เป็นผู้ที่ชอบความอิสรภาพ รักญาติพี่น้อง มีความเมตตากรุณา เป็นที่มีค่าควรแก่แผ่นดิน ฯ
หมายเหตุ
คำว่า อมล หรือ อะมะลา แปลว่าพระลักษมี สายสะดือ ความสะอาด บริสุทธิ์ สีขาว ในที่นี้หมายถึงโยคแห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากมลทินใดๆ
เวศีโยค
โศลกที่ ๑๒๑
ถ้ามีดาวพระเคราะห์อยู่ในภพที่ ๑๒-๒ หรือ กระหนาบหน้าและหลังอาทิตย์ จะเกิดโยคขึ้น ๓ ประการ คือเวสิโยค มีพระเคราะห์อยู่ในภพที่ ๑๒ จากอาทิตย์ เวศิโยค มีพระเคราะห์อยู่ในภพที่ ๒ จากอาทิตย์ อุภยะจรีโยค มีพระเคราะห์กระหนาบหน้าและหลังอาทิตย์
ถ้าพระเคราะห์ที่ทำให้เกิดโยคต่างๆเหล่านี้เป็นเกษตร์ อยู่ในเรือนมิตรหรือได้ตำแหน่งอุจจ์ จะทำให้เจ้าชะตามีความเป็นอยู่เทียบเท่าพระราชา มีฐานะดี มั่นคงและมั่งคั่ง มีความผาสุก และจะได้เป็นใหญ่ด้วย ฯ
โศลกที่ ๑๒๒
ผู้ใด้เกิดได้ศุภเวสิโยค คือมีศุภเคราะห์อยู่ในภพที่ ๑๒ จากอาทิตย์ จะเป็นคนสุภาพอ่อนโยน ช่างพูดเจรจาเป็นที่ต้องใจของผู้ฟัง มั่งคั่งสมบูรณ์ทรัพย์ องอาจกล้าหาญและจะได้ชัยชนะแก่ศัตรู
ถ้าผู้ใดเกิดได้บาปเวศีโยค คือมีบาปเคราะห์อยู่ในภพที่ ๒ จากอาทิตย์ จะเป็นคนที่ชอบคบมิตรชั่ว ใจบาปหยาบช้า ชอบประพฤติตนเลวทราม จะไม่มีความสุข ลำบากยากจนข้นแค้น ฯ
โศลกที่ ๑๒๓
ถ้าผู้ใดเกิดได้ศุภเวศิโยค คือมีศุภเคราะห์อยู่ในภพที่ ๑๒ จากอาทิตย์ จะเป็นคนเจ้าปัญญา ชอบความอิสรภาพ ชอบแสวงหาความรู้ คงแก่เรียน มีความผาสุก มีฐานะดีมั่งคั่ง มีชื่อเสียงโด่งดัง และมีกำลังแข็งแรงด้วย
ถ้าผู้ใดเกิดได้บาปเวศิโยค คือมีบาปเคราะห์อยู่ในภพที่ ๑๒ จากอาทิตย์ เจ้าชะตาจะเป็นคนทึบปัญญา โง่เขลา เจ้าชู้มักมากในกามตัณหา มักเป็นอาชญากร ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะต้องถูกขับไล่ไสส่งหรือถูกเนรเทศ ฯ
โศลกที่ ๑๒๔
ถ้าผู้ใดเกิดได้ศุภอุภยะจริโยค คือมีศุภเคราะห์กระหนาบหน้าและหลังอาทิตย์ จะเป็นผู้ที่มีฐานะอย่างพระราชา มีฐานะดีมั่งคั่งสมบูรณ์ทรัพย์ มีความผาสุก จะเป็นที่นิยมรักใคร่ของบุคคลทั่วไป เพราะความเมตตาปราณีและความสุภาพอ่อนโยนของเจ้าชะตา มีนิสัยชอบสังคมและรักหมู่คณะ เต็มไปด้วยลักษณะของผู้นำ
ถ้าผู้ใดเกิดได้บาปอุภยะจริโยค คือมีบาปเคราะห์กระหนาบหน้าและหลังอาทิตย์ จะเป็นคนชั่วร้ายทรยศคดโกง ขี้โรคมีโรคเรื้อรังประจำตัว เอาตัวไม่รอดต้องเป็นลูกน้องหรืออาศัยผู้อื่นตลอดเวลา และลำบากยากจน ฯ
อัถศุภโยค
โศลกที่ ๑๒๕
ถ้ามีบาปเคราะห์กระหนาบหน้าและหลังลัคนา เรียกว่า ปาปะกรรตะริโยค
ถ้ามีศุภเคราะห์กระหนาบหน้าและหลังลัคนา เรียกว่า ศุภะกรรตะริโยค หรือ เสามยะกรรตะริโยค ถ้ามีศุภเคราะห์กุมลัคนา เรียกว่า ศุภโยค และ ถ้ามีบาปเคราะห์กุมลัคนา เรียกว่า อะศุภโยค ฯ
หมายเหตุ
กรรตะริ หรือ กรตตรี หรือ กรรตรี แปลว่า พร้า มีด กระบี่เล็กๆ หรือตระไกร กรรไกร ในที่นี้หมายความว่ากรรไกรคือเปรียบเหมือนพระเคราะห์ที่อยู่ในภพที่ ๑-๑๒ จากลัคนา เป็นกรรไกรหนีบลัคนาอยู่ตลอดกาล
โศลกที่ ๑๒๖
ถ้าผู้ใดเกิดในศุภโยค จะเป็นคนช่างพูดสุภาพอ่อนโยนน่ารักใคร่นับถือ
ถ้าผู้ใดเกิดในอศุภโยค จะเป็นคนเจ้าชู้ ทรยศคดโกงและต้องอาศัยผู้อื่นตลอดเวลา เอาตัวไม่รอด ฯ
โศลกที่ ๑๒๗
ถ้าผู้ใดเกิดในศุภะกรรตะริโยค จะมีความเป็นอยู่อย่างโอ่โถงสมบูรณ์ผาสุก มีฐานะดีมั่นคง และมีกำลังกายดีสุขภาพสมบูรณ์
ถ้าผู้ใดเกิดในปาปกรรตะริโยค จะเป็นโจร อาชญากร จะกินอาหารที่ไม่บริสุทธิ์ และต้องขอทานหรือขอเขากิน ต้องอาศัยผู้อื่นเอาตัวไม่รอด ฯ