Website แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ให้บริการฤกษ์ยามชั้นสูงของโหราศาสตร์ภารตะจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ และได้ผลตอบรับดีสูงสุดเป็นปีที่ 15 แล้ว WebSite ของเราให้การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากยุโรป "SiteGuarding" บริการดูฮวงจุ้ย แก้ฮวงจุ้ย เสริมฮวงจุ้ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี***

เรื่องรัตนสูตร (ต่อ)

๑๗    สิงหาคม  ๒๕๒๔


จะแสดงตำนานแห่งรัตนสูตร  อันเป็นตำนานที่สองต่อ  โดยที่พระสูตรนี้ตามตำนานแสดงว่า  ได้เกิดภัยขึ้น ๓ ประการในเมืองเวสาลี  ขัตติยะทั้งหลายแห่งกรุงเวสาลีจึงได้เชิญเสด็จพระพุทธเจ้าจากกรุงราชคฤห์มาสู่กรุงเวสาลีเพื่อระงับภัยทั้ง ๓ ประการนั้น คือทุพภิกขภัย ภัยที่เกิดจากข้าวยาก  คือหาภิกษาสำหรับบริโภคได้ยากเพราะฝนแล้ง อมนุษยภัย ภัยที่เกิดจากอมนุษย์  และโรคภัย ภัยที่เกิดจากโรค  ฉะนั้น  จึงจะกล่าวถึงเรืองอมนุษย์อันหมายถึงบรรดาโอปปาติกะ  คือจำพวกที่เรียกว่า  ลอยเกิดทั้งหลาย  ดังที่เราเรียกกันว่าเทพดาบ้าง  ผีต่าง ๆ บ้างเป็นต้น  ฉะนั้น  ก็จะกล่าวถึงโยนิ  คือกำเนิดที่แสดงไว้ในพุทธศาสนาว่ามีอยู่ ๔  คือ

หนึ่ง ชลาพุชะ เกิดในครรภ์  กำเนิดชลาพุชะนั้นได้แก่กำเนิดมนุษย์และกำเนิดเดียรัจฉานที่คลอดออกเป็นตัวและดูดนม  เช่น  โค  กระบือ  สุนัข   แมว  เป็นต้น

สอง อัณฑชะ เกิดในไข่  ได้แก่กำเนิดเดรัจฉานที่เกิดในไข่ก่อนแล้วจึงฟักออกเป็นตัว  เช่น  ไก่  เป็ด  นก  เป็นต้น

สาม สังเสทชะ กำเนิดในเถ้าไคล  หมายเอากำเนิดเดรัจฉานที่เกิดในของโสมม  เช่น  หมู่หนอน

สี่ โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้นหรือที่เรียกว่าลอยเกิด  ได้แก่กำเนิดเทวดาและสัตว์นรกเป็นต้น  เทวดาก็ดี  สัตว์นรกก็ดี  ไม่ได้เกิดด้วยกำเนิด ๓ ข้างต้น  เกิดผุดขึ้นในทันใด  โตใหญ่เป็นวิญญูชนทีเดียว  หาได้เกิดทารกมาก่อนไม่  เมื่อจุติ(ตาย)  ก็หายวับไปไม่ทิ้งซากไว้

สำหรับ  ๓  กำเนิดข้างต้น  ถ้าจะแยกให้ชัดจากกำเนิดอัณฑชะเกิดในไข่  ควรแบ่งดังนี้

จำพวกเกิดในไข่ฟักแล้วเป็นตัวเติบขึ้น  นับเข้าในจำพวกสัตว์เป็นอัณฑชะ

จำพวกเกิดในไข่หรือไม่ปรากฏว่าเกิดจากอะไร  เช่น  หนอน  และแมลงต่าง ๆ  จัดเป็นสังเสทชะ  เกิดในเถ้าไคล

อีกอย่างหนึ่ง  น่ากำหนดว่า  จำพวกมีเลือดแดงเกิดในอัณฑชะเกิดในไข่  จำพวกมีเลือดเหลือง  จัดเป็นสังเสทชะ  เกิดในเถ้าไคล  โดยเค้าเงื่อนก็สมกัน

สำหรับจำพวกที่เรียกว่า  อมนุษย์  ก็หมายถึงจำพวกที่เป็นโอปปาติกะคือเกิดผุดขึ้น  ดังแสดงในโยนิคือกำเนิดทั้ง ๔ นี้  สำหรับในพระสูตรนี้ได้เรียกจำพวกอมนุษย์ว่า  ภูตะ  ที่ไทยเราก็เรียกเหมือนกันเช่น  ภูตผี  ภูต  ก็มาจาก  ภูตะนี้เอง  แต่คำว่า  ภูตะ  ใช้หมายความได้หลายอย่าง  ตามศัพท์  ภูตะ  แปลว่า  ผู้ที่เป็นแล้วหรือสิ่งที่เป็นแล้ว  บางแห่งก็หมายถึงขันธ์ ๕  บางแห่งก็หมายถึงธาตุทั้ง  ๔  ดังที่เรียกว่ามหาภูตรูป  รูปที่เป็นภูตใหญ่ทั้ง ๔ คือธาตุดิน  ธาตุน้ำ  ธาตุลม  ธาตุไฟ  ธาตุลมบางแห่งก็หมายถึงพระอรหันต์ขีณาสพ  เรียกว่าภูตะ บางแห่งก็หมายถึงสรรพสัตว์หรือสัตว์โลกทั้งหมดเรียกว่า  ภูตะทั้งนั้น  บางแห่งก็หมายถึงถ้อยคำที่เป็นจริงหรือที่มีอยู่  บางแห่งก็หมายถึงภูตคามคือพวกต้นไม้  เพราะฉะนั้น  ภูตะจึงมีความหมายหลายอย่าง  และที่หมายจำเพาะถึงจำพวกโอปปาติกะที่เป็นชั้นต่ำ  ดังที่เราเรียกว่าภูตผี  ดั่งนี้ก็มี  สำหรับที่หมายถึงสรรพสัตว์นั้นยังมีคำที่คู่กัน  คือ  สัมภเวสีกับภูตะ   สัมภเวสีนั้นแปลว่า  สัตว์ผู้แสวงหาสมภพคือแสวงหาที่เกิด สัตว์ผู้ที่ได้เกิดและเกิดแล้วเป็นในชาติภพใดภพหนึ่งก็ตาม  เรียกว่าภูตะ  สำหรับสัมภเวสีและภูตะนี้ใช้คู่กัน   ดังจะมีกล่าวถึงในกรณียเมตตสูตร  อันเป็นพระสูตรที่แสดงในตำนานต่อไป  จึงจะไว้อธิบายในตอนที่แสดงกรณียเมตตสูตรนั้น  แต่สำหรับในรัตนสูตรนี้เมื่อยกตำนานขึ้นมาอ้าง  ภูตะที่หมายถึงก็น่าจะหมายถึงพวกภูตผีตามที่เชื่อถือกัน  เพราะว่ามาก่อภัยให้แก่หมู่มนุษย์  เป็นภัยอย่างหนึ่งในภัยทั้งสาม  คืออมนุษยภัย  แต่ว่าในพระสูตร  พระอาจารย์ได้อธิบายคลุมหมดว่า  ภูตะที่หมายถึงในพระสูตรหมายถึงจำพวกอมนุษย์ทั้งหมด  จะเป็นเทพดาก็ได้  ต่ำกว่าก็ได้  เพราะจะเป็นเทพดาหรือจะเป็นจำพวกไหนก็ตาม  ก็เป็นอมนุษย์ที่แปลว่าไม่ใช่มนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น   เพราะฉะนั้น  ท่านจึงว่าหมายคลุมทั้งหมดและเรื่องกำเนิดโอปปาติกะนี้  ก็ได้เป็นที่เชื่อถือกันมาตั้งแต่เก่าก่อนพุทธกาล  เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วทรงแสดงธรรมสั่งสอนก็ได้แสดงถึง  และก็ได้มีเรื่องที่เล่าในตำนานพุทธศาสนาว่า  มีเทพดามาเฝ้าพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดา  เหล่านี้เป็นต้น  ตลอดจนถึงตำนานที่  ๑   ก็มีเล่าว่า  เทพดาได้มาเฝ้ากราบทูลถามปัญหาเรื่องมงคลดังที่ได้แสดงแล้ว   เพราะฉะนั้น  จึงจะได้จับแสดงในตัวพระสูตรต่อไป  ซึ่งแสดงในตำนานว่า  เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาถึงประตูเข้าเมืองเวสาลีก็ได้แสดงพระสูตรนี้แก่พระอานนท์เถระ  และโปรดให้พระอานนท์เถระเดินไปตามกำแพงรอบเมืองเวสาลี  ซึ่งพระอานนท์เถระท่านก็สาธยายพระสูตรนี้  และท่านก็ประพรมน้ำจากบาตรพระพุทธเจ้าไปทั่วเมืองเวสาลี  สำหรับตัวรัตนสูตรได้มีแสดงไว้ดังที่สวดกันว่า ยานีธ  ภูตานิ  สมาคตานิ ภุมฺมานิ  วา  ยานิว  อนฺตลิกฺเข เป็นต้น  ที่แปลความว่า

หมู่ภูตเหล่าใดที่เป็นผู้อาศัยอยู่ตามภาคพื้นแผ่นดินอันเรียกว่า  ภุมมะ  หรือดังที่ไทยเรียกว่า  พระภูมิ  หรือว่าเหล่าใดที่อยู่ในอากาศซึ่งมาประชุมกันแล้วในที่นี้  ขอหมู่ภูตทั้งปวงจงเป็นผู้มีใจดี  และจงฟังภาษิตโดยเคารพ

นี้เป็นคำแปลของคาถาที่  ๑

เพราะเหตุนั้นแล  ท่านภูตทั้งปวงจงตั้งใจฟัง

กระทำไมตรีจิตในหมู่มนุษยชาติประชุมชน  มนุษย์เหล่าใดย่อมนำไปซึ่งพลี  ดังที่เรียกว่าสังเวยทั้งกลางวันกลางคืน

เพราะเหตุนั้นแลท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทรักษาหมู่มนุษย์เหล่านั้น

นี้เป็นคำแปลของคาถาที่  ๒
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ  อันใดอันหนึ่งในโลกนี้หรือโลกอื่น

หรือรัตนะอันใด  อันประณีตในสวรรค์

รัตนะอันนั้น  เสมอด้วยพระตถาคตเจ้า  ไม่มีเลย

แม้อันนี้  เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า

ด้วยคำสัตย์นี้  ขอความสวัสดีจงมี

นี้เป็นคำแปลของคาถาที่  ๓  เป็นคาถาที่แสดงถึงพระพุทธรัตนะ

พระศากยมุนีเจ้ามีพระหฤทัยดำรงมั่นได้บรรลุธรรมอันใดเป็นที่สิ้นกิเลส

เป็นที่สิ้นราคะ  เป็นอมฤตธรรมอันประณีต

สิ่งไร ๆ เสมอด้วยพระธรรม  ย่อมไม่มี

แม้อันนี้  เป็นรัตนะอันประณีตในพระธรรม

ด้วยคำสัตย์นี้  ขอความสวัสดีจงมี

นี้เป็นคำแปลของคาถาที่  ๔  แสดงถึงธรรมรัตนะ  รัตนคือธรรมที่เป็นส่วนอสังขตธรรม  ธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง

พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด  ทรงสรรเสริญแล้วซึ่งสมาธิอันใดว่า  เป็นธรรมอันสะอาด

บัณฑิตทั้งหลายกล่าวถึงสมาธิอันใด  ว่าให้ผลโดยลำดับ

สมาธิอื่น  เสมอด้วยสมาธินั้น  ย่อมไม่มี

แม้อันนี้  เป็นรัตนะอันประณีตในพระธรรม

ด้วยคำสัตย์นี้  ขอความสวัสดีจงมี

นี้เป็นคำแปลของคาถาที่  ๕  แสดงถึงธรรมรัตนะ  รัตนะคือพระธรรมที่เป็นส่วนสังขตธรรม  ธรรมที่ยังมีปัจจัยปรุงแต่ง

วันนี้ยุติตอนนี้เท่านี้.

๑๗    สิงหาคม  ๒๕๒๔


จะแสดงตำนานแห่งรัตนสูตร  อันเป็นตำนานที่สองต่อ  โดยที่พระสูตรนี้ตามตำนานแสดงว่า  ได้เกิดภัยขึ้น ๓ ประการในเมืองเวสาลี  ขัตติยะทั้งหลายแห่งกรุงเวสาลีจึงได้เชิญเสด็จพระพุทธเจ้าจากกรุงราชคฤห์มาสู่กรุงเวสาลีเพื่อระงับภัยทั้ง ๓ ประการนั้น คือทุพภิกขภัย ภัยที่เกิดจากข้าวยาก  คือหาภิกษาสำหรับบริโภคได้ยากเพราะฝนแล้ง อมนุษยภัย ภัยที่เกิดจากอมนุษย์  และโรคภัย ภัยที่เกิดจากโรค  ฉะนั้น  จึงจะกล่าวถึงเรืองอมนุษย์อันหมายถึงบรรดาโอปปาติกะ  คือจำพวกที่เรียกว่า  ลอยเกิดทั้งหลาย  ดังที่เราเรียกกันว่าเทพดาบ้าง  ผีต่าง ๆ บ้างเป็นต้น  ฉะนั้น  ก็จะกล่าวถึงโยนิ  คือกำเนิดที่แสดงไว้ในพุทธศาสนาว่ามีอยู่ ๔  คือ

หนึ่ง ชลาพุชะ เกิดในครรภ์  กำเนิดชลาพุชะนั้นได้แก่กำเนิดมนุษย์และกำเนิดเดียรัจฉานที่คลอดออกเป็นตัวและดูดนม  เช่น  โค  กระบือ  สุนัข   แมว  เป็นต้น

สอง อัณฑชะ เกิดในไข่  ได้แก่กำเนิดเดรัจฉานที่เกิดในไข่ก่อนแล้วจึงฟักออกเป็นตัว  เช่น  ไก่  เป็ด  นก  เป็นต้น

สาม สังเสทชะ กำเนิดในเถ้าไคล  หมายเอากำเนิดเดรัจฉานที่เกิดในของโสมม  เช่น  หมู่หนอน

สี่ โอปปาติกะ เกิดผุดขึ้นหรือที่เรียกว่าลอยเกิด  ได้แก่กำเนิดเทวดาและสัตว์นรกเป็นต้น  เทวดาก็ดี  สัตว์นรกก็ดี  ไม่ได้เกิดด้วยกำเนิด ๓ ข้างต้น  เกิดผุดขึ้นในทันใด  โตใหญ่เป็นวิญญูชนทีเดียว  หาได้เกิดทารกมาก่อนไม่  เมื่อจุติ(ตาย)  ก็หายวับไปไม่ทิ้งซากไว้

สำหรับ  ๓  กำเนิดข้างต้น  ถ้าจะแยกให้ชัดจากกำเนิดอัณฑชะเกิดในไข่  ควรแบ่งดังนี้

จำพวกเกิดในไข่ฟักแล้วเป็นตัวเติบขึ้น  นับเข้าในจำพวกสัตว์เป็นอัณฑชะ

จำพวกเกิดในไข่หรือไม่ปรากฏว่าเกิดจากอะไร  เช่น  หนอน  และแมลงต่าง ๆ  จัดเป็นสังเสทชะ  เกิดในเถ้าไคล

อีกอย่างหนึ่ง  น่ากำหนดว่า  จำพวกมีเลือดแดงเกิดในอัณฑชะเกิดในไข่  จำพวกมีเลือดเหลือง  จัดเป็นสังเสทชะ  เกิดในเถ้าไคล  โดยเค้าเงื่อนก็สมกัน

สำหรับจำพวกที่เรียกว่า  อมนุษย์  ก็หมายถึงจำพวกที่เป็นโอปปาติกะคือเกิดผุดขึ้น  ดังแสดงในโยนิคือกำเนิดทั้ง ๔ นี้  สำหรับในพระสูตรนี้ได้เรียกจำพวกอมนุษย์ว่า  ภูตะ  ที่ไทยเราก็เรียกเหมือนกันเช่น  ภูตผี  ภูต  ก็มาจาก  ภูตะนี้เอง  แต่คำว่า  ภูตะ  ใช้หมายความได้หลายอย่าง  ตามศัพท์  ภูตะ  แปลว่า  ผู้ที่เป็นแล้วหรือสิ่งที่เป็นแล้ว  บางแห่งก็หมายถึงขันธ์ ๕  บางแห่งก็หมายถึงธาตุทั้ง  ๔  ดังที่เรียกว่ามหาภูตรูป  รูปที่เป็นภูตใหญ่ทั้ง ๔ คือธาตุดิน  ธาตุน้ำ  ธาตุลม  ธาตุไฟ  ธาตุลมบางแห่งก็หมายถึงพระอรหันต์ขีณาสพ  เรียกว่าภูตะ บางแห่งก็หมายถึงสรรพสัตว์หรือสัตว์โลกทั้งหมดเรียกว่า  ภูตะทั้งนั้น  บางแห่งก็หมายถึงถ้อยคำที่เป็นจริงหรือที่มีอยู่  บางแห่งก็หมายถึงภูตคามคือพวกต้นไม้  เพราะฉะนั้น  ภูตะจึงมีความหมายหลายอย่าง  และที่หมายจำเพาะถึงจำพวกโอปปาติกะที่เป็นชั้นต่ำ  ดังที่เราเรียกว่าภูตผี  ดั่งนี้ก็มี  สำหรับที่หมายถึงสรรพสัตว์นั้นยังมีคำที่คู่กัน  คือ  สัมภเวสีกับภูตะ   สัมภเวสีนั้นแปลว่า  สัตว์ผู้แสวงหาสมภพคือแสวงหาที่เกิด สัตว์ผู้ที่ได้เกิดและเกิดแล้วเป็นในชาติภพใดภพหนึ่งก็ตาม  เรียกว่าภูตะ  สำหรับสัมภเวสีและภูตะนี้ใช้คู่กัน   ดังจะมีกล่าวถึงในกรณียเมตตสูตร  อันเป็นพระสูตรที่แสดงในตำนานต่อไป  จึงจะไว้อธิบายในตอนที่แสดงกรณียเมตตสูตรนั้น  แต่สำหรับในรัตนสูตรนี้เมื่อยกตำนานขึ้นมาอ้าง  ภูตะที่หมายถึงก็น่าจะหมายถึงพวกภูตผีตามที่เชื่อถือกัน  เพราะว่ามาก่อภัยให้แก่หมู่มนุษย์  เป็นภัยอย่างหนึ่งในภัยทั้งสาม  คืออมนุษยภัย  แต่ว่าในพระสูตร  พระอาจารย์ได้อธิบายคลุมหมดว่า  ภูตะที่หมายถึงในพระสูตรหมายถึงจำพวกอมนุษย์ทั้งหมด  จะเป็นเทพดาก็ได้  ต่ำกว่าก็ได้  เพราะจะเป็นเทพดาหรือจะเป็นจำพวกไหนก็ตาม  ก็เป็นอมนุษย์ที่แปลว่าไม่ใช่มนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น   เพราะฉะนั้น  ท่านจึงว่าหมายคลุมทั้งหมดและเรื่องกำเนิดโอปปาติกะนี้  ก็ได้เป็นที่เชื่อถือกันมาตั้งแต่เก่าก่อนพุทธกาล  เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้วทรงแสดงธรรมสั่งสอนก็ได้แสดงถึง  และก็ได้มีเรื่องที่เล่าในตำนานพุทธศาสนาว่า  มีเทพดามาเฝ้าพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าตรัสตอบปัญหาเทวดา  เหล่านี้เป็นต้น  ตลอดจนถึงตำนานที่  ๑   ก็มีเล่าว่า  เทพดาได้มาเฝ้ากราบทูลถามปัญหาเรื่องมงคลดังที่ได้แสดงแล้ว   เพราะฉะนั้น  จึงจะได้จับแสดงในตัวพระสูตรต่อไป  ซึ่งแสดงในตำนานว่า  เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาถึงประตูเข้าเมืองเวสาลีก็ได้แสดงพระสูตรนี้แก่พระอานนท์เถระ  และโปรดให้พระอานนท์เถระเดินไปตามกำแพงรอบเมืองเวสาลี  ซึ่งพระอานนท์เถระท่านก็สาธยายพระสูตรนี้  และท่านก็ประพรมน้ำจากบาตรพระพุทธเจ้าไปทั่วเมืองเวสาลี  สำหรับตัวรัตนสูตรได้มีแสดงไว้ดังที่สวดกันว่า ยานีธ  ภูตานิ  สมาคตานิ ภุมฺมานิ  วา  ยานิว  อนฺตลิกฺเข เป็นต้น  ที่แปลความว่า

หมู่ภูตเหล่าใดที่เป็นผู้อาศัยอยู่ตามภาคพื้นแผ่นดินอันเรียกว่า  ภุมมะ  หรือดังที่ไทยเรียกว่า  พระภูมิ  หรือว่าเหล่าใดที่อยู่ในอากาศซึ่งมาประชุมกันแล้วในที่นี้  ขอหมู่ภูตทั้งปวงจงเป็นผู้มีใจดี  และจงฟังภาษิตโดยเคารพ

นี้เป็นคำแปลของคาถาที่  ๑

เพราะเหตุนั้นแล  ท่านภูตทั้งปวงจงตั้งใจฟัง

กระทำไมตรีจิตในหมู่มนุษยชาติประชุมชน  มนุษย์เหล่าใดย่อมนำไปซึ่งพลี  ดังที่เรียกว่าสังเวยทั้งกลางวันกลางคืน

เพราะเหตุนั้นแลท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่ประมาทรักษาหมู่มนุษย์เหล่านั้น

นี้เป็นคำแปลของคาถาที่  ๒
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ  อันใดอันหนึ่งในโลกนี้หรือโลกอื่น

หรือรัตนะอันใด  อันประณีตในสวรรค์

รัตนะอันนั้น  เสมอด้วยพระตถาคตเจ้า  ไม่มีเลย

แม้อันนี้  เป็นรัตนะอันประณีตในพระพุทธเจ้า

ด้วยคำสัตย์นี้  ขอความสวัสดีจงมี

นี้เป็นคำแปลของคาถาที่  ๓  เป็นคาถาที่แสดงถึงพระพุทธรัตนะ

พระศากยมุนีเจ้ามีพระหฤทัยดำรงมั่นได้บรรลุธรรมอันใดเป็นที่สิ้นกิเลส

เป็นที่สิ้นราคะ  เป็นอมฤตธรรมอันประณีต

สิ่งไร ๆ เสมอด้วยพระธรรม  ย่อมไม่มี

แม้อันนี้  เป็นรัตนะอันประณีตในพระธรรม

ด้วยคำสัตย์นี้  ขอความสวัสดีจงมี

นี้เป็นคำแปลของคาถาที่  ๔  แสดงถึงธรรมรัตนะ  รัตนคือธรรมที่เป็นส่วนอสังขตธรรม  ธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง

พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด  ทรงสรรเสริญแล้วซึ่งสมาธิอันใดว่า  เป็นธรรมอันสะอาด

บัณฑิตทั้งหลายกล่าวถึงสมาธิอันใด  ว่าให้ผลโดยลำดับ

สมาธิอื่น  เสมอด้วยสมาธินั้น  ย่อมไม่มี

แม้อันนี้  เป็นรัตนะอันประณีตในพระธรรม

ด้วยคำสัตย์นี้  ขอความสวัสดีจงมี

นี้เป็นคำแปลของคาถาที่  ๕  แสดงถึงธรรมรัตนะ  รัตนะคือพระธรรมที่เป็นส่วนสังขตธรรม  ธรรมที่ยังมีปัจจัยปรุงแต่ง

วันนี้ยุติตอนนี้เท่านี้.