หมวด: ตำนานพุทธมนต์
จำนวนผู้อ่าน: 7449

เรื่องมงคลสูตร (ต่อ)

๑๑    สิงหาคม  ๒๕๒๔

จะแสดงมงคลสูตรต่อ

มงคลที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงตั้งแต่คาถาต้นมาโดยลำดับ  เป็นการแสดงมงคลที่บุคคลทั่วไปพึงปฏิบัติ  แม้ผู้อยู่ครองเรือนในโลกก็พึงประพฤติปฏิบัติ               และได้ทรงแสดงข้อปฏิบัติที่เป็นมงคลสูงขึ้นมาโดยลำดับ   ตั้งต้นที่พึงปฏิบัติทั่วไปดังกล่าว  จนถึงข้อปฏิบัติที่ละเอียดขึ้น  และเป็นไปทางปัญญามากขึ้น  ซึ่งรวมความว่า  เป็นข้อปฏิบัติขึ้นศีล  ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติทางกาย  ทางวาจา  ด้วยความตั้งใจ  ในขั้นสมาธิคือความปฏิบัติอบรมทางจิตใจ  ตลอดจนถึงในขั้นเป็นไปทางปัญญา  และสืบต่อไปถึงวิมุตติ  ความหลุดพ้น

ในคาถาที่เก้า  ได้ทรงแสดงมงคลอันเป็นข้อปฏิบัติเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอันจะกล่าวว่าเป็นข้อปฏิบัติทางศีล  สมาธิ ปัญญา  ก็ได้  แต่ก็เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น  ในคาถาที่เก้าได้ตรัสว่า

ตโป  จ ความเพียรเผากิเลส ๑

พฺรหฺมจริยญฺจ ความประพฤติอย่างพรหม  หรือความประพฤติอันประเสริฐ  ๑

อริยสจฺจาน  ทสฺสนํ ความเห็นซึ่งอริยสัจทั้งหลาย  ๑

นิพฺพานสจฺฉิกิริยา  จ ความทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน  ๑

อตมฺมงฺคเลมุตฺตมํ ข้อนี้เป็นมงคลอันอุดม  คือสูงสุด

อธิบายสังเขป ตโป แปลทับศัพท์ว่า  ตบะ  คำว่าตบะนั้น  แปลว่าเครื่องเผาหรือการเผาให้เร่าร้อน  ในทางลัทธิปฏิบัติก่อนแต่พุทธกาลบังเกิดขึ้น  ฤาษีบำเพ็ญตบะบางลัทธิก็คือ  นำไม้มากองและจุดไฟเผาและก็เพ่งดูไฟ  ถือว่าเป็นการบำเพ็ญตบะ  และยังมีลัทธิปฏิบัติเกี่ยวกับการเผาที่ยิ่งขึ้นไปกว่านี้  ตลอดจนถึงนำเอาสัตว์เดียรัจฉานจนถึงมนุษย์มาเผาก็มี  ต้องการที่จะให้เป็นที่โปรดปรานของพระเป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่เชื่อถือ  แต่ว่าในทางพุทธศาสนานั้น  นำเอาคำว่าตบะมาใช้ให้หมายถึงวิริยะคือความเพียร  ซึ่งหมายความว่า  เพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน  เพราะโดยปกตินั้น  กิเลสที่บังเกิดขึ้นก็เผาใจของบุคคลให้เร่าร้อน  ดังที่เทียบกิเลสกับไฟ  อัคคิคือไฟ  ๓  กอง  ได้แก่ราคัคคิ   ไฟคือราคะ   โทสัคคิ  ไฟคือโทสะ  โมหัคคิ  ไฟคือโมหะ  บังเกิดขึ้นก็เผาใจของบุคคล  เพราะฉะนั้น  จึงได้ตรัสสอนให้บำเพ็ญเพียรเผากิเลสเสีย  ให้กิเลสร้อนไปเองสิ้นไปเอง  เพราะถ้าไม่เผากิเลส  กิเลสก็เผาใจของบุคคลให้ร้อน  เพราะฉะนั้น  ให้เพียรเผากิเลสเสีย  ให้กิเลสร้อนให้หมดสิ้นไป  เพราะฉะนั้น  จึงหมายถึงความเพียรเผากิเลส

อีกอย่างหนึ่งหมายถึงอินทรียสังวร  คือความสำรวมอินทรีย์  ได้แก่ความสำรวมตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ  โดยที่มีสติความระลึกได้  พร้อมทั้งญาณคือความหยั่งรู้หรือปัญญา  ป้องกันปิดกั้นมิให้เกิดความยินดีความยินร้ายในขณะที่ตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง  จมูกได้ดมกลิ่น  ลิ้นได้ลิ้มรส  กายได้ถูกต้องโผฏฐัพพะ  คือสิ่งที่กายถูกต้อง  และมนะคือใจ  ได้รู้ธรรมคือเรื่องราวที่บังเกิดขึ้นทางมโนคือใจ  ความที่มีสติกับทั้งญาณคือปัญญาคอยป้องกันปิดกั้นมิให้เกิดความยินดีความยินร้ายในรูปเสียงเป็นต้น  ที่ประสบพบพาน  คือโดยที่มิให้บังเกิดเป็นกระแสกิเลสคือกระแสของความยินดียินร้าย  หรือเรียกว่ากระแสของตัณหาบังเกิดขึ้น  อาศัยอายตนะภายในภายนอกที่มาประจวบกันนั้นไหลเข้ามาสู่ใจท่วมทับใจ  คอยระงับเสีย  ดั่งนี้เรียกว่าอินทรียสังวร  ความสำรวมอินทรีย์  ก็เป็นตบะอย่างหนึ่งทางพุทธศาสนา  และก็มีความหมายถึงธรรมปฏิบัติข้ออื่นอีกได้  เพราะธรรมปฏิบัติแม้ข้ออื่นก็เป็นเครื่องเผากิเลสด้วยกันทั้งนั้น  แต่ว่าก็ยกเอาความเพียรเผากิเลสนี่แหละขึ้นมาเป็นที่ตั้งอธิบายตบะ

พฺรหฺมจริยญฺจ ความประพฤติอย่างพรหม  หรือความประพฤติประเสริฐ์  พรหมจริยาหรือพรหมจรรย์  ที่เรียกกันในภาษาไทยก็มักจะใช้หมายถึง  เมถุนวิรัติ  ความงดเว้นจากเมถุนธรรม  ธรรมของคนคู่บ้าง  ใช้หมายคลุมถึงสมณะธรรม  คือธรรมที่เป็นเหตุทำใจให้สงบระงับ  หรือว่าคลุมถึงศาสนาคือคำสั่งสอนโดยส่วนรวมบ้าง  ใช้หมายถึงมรรคมีองค์แปด มีสัมมาทิฏฐิ  ความเห็นชอบเป็นต้น  มีสัมมาสมาธิ  ความตั้งใจชอบเป็นที่สุดบ้าง  ก็รวมความว่าบรรดาความประพฤติที่ประเสริฐก็เรียกว่าพรหมจรรย์ได้

อริยสจฺจาน  ทสฺสนํ ความเห็นซึ่งอริยสัจทั้งหลาย  อริยสัจก็คือสัจจะ  ความจริงหรือของจริง  ของแท้ที่ทำให้ผู้เห็นเป็นอริยะ  คือผู้ประเสริฐผู้เจริญ   หรือว่าสัจจะที่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐได้ทรงเห็นและทรงแสดง  อันได้แก่ทุกข์ ๑  ทุกขสมุทัย  เหตุให้เกิดทุกข์ ๑  ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ ๑  ทุกขนิโรธคามิมีปฏิปทา  ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์  ๑  เรียกว่าอริยสัจ ๔  อันเป็นสัจจะที่เป็นหลักในพุทธศาสนา  พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม  คือคำว่าพุทธะ   พระผู้ตรัสรู้  หรือสัมมาสัมพุทธะ  พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ  หากจะถามว่าตรัสรู้อะไร  ก็ตอบกันกว้าง ๆ ว่า ก็ตรัสรู้พระธรรม  หากจะถามว่า  พระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นคืออะไร  ก็ตอบตามปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้าเองว่า  คืออริยสัจทั้ง ๔  ดังกล่าว  เพราะฉะนั้น  จึงมีคำอธิบายคำว่าธรรม  หรือธรรมะอย่างหนึ่งว่า       ได้แก่สัจธรรม  ธรรมคือสัจจะ  และศาสนธรรม   ธรรมคือคำสั่งสอน  สำหรับธรรมคือสัจจะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ก็คืออริยสัจทั้ง ๔   ฉะนั้นก็ตอบได้ว่า  หากจะถามว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร  ก็ตรัสรู้อริยสัจทั้ง ๔  และพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร  ก็กล่าวได้อีกว่า  ก็ทรงสั่งสอนอริยสัจทั้ง ๔ นี้นั้นเอง  ทรงนำเอาอริยสัจทั้ง  ๔  ที่ได้ตรัสรู้มาทรงแสดงสั่งสอน  แม้จะทรงยกเอาข้อธรรมที่มีชื่ออย่างใดอย่างหนึ่งมาทรงแสดง  และตรัสแสดงธรรมนั้น  โดยปริยาย  คือทางแสดงอันใดอันหนึ่งก็ตาม  ก็สงเคราะห์เข้าในอริยสัจทั้ง ๔ นี้ทั้งนั้น  เพราะฉะนั้น  อริยสัจทั้ง  ๔  จึงเป็ฯที่สรุปรวมของธรรมที่เป้นพุทธศาสนาทั้งหมด  ดังที่ได้ตรัสแสดงไว้  ได้ตรัสอุปมาไว้ว่า  เหมือนอย่างรอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายในโลก  รอยเท้าช้างนั้นใหญ่กว่ารอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายที่เดินดินด้วยกันทั้งหมด  รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายที่เดินดินด้วยกันทั้งหมดนั้น  ก็รวมได้ในรอยเท้าช้าง  ฉันใดก็ดี  ธรรมที่ทรงสั่งสอนก็รวมเข้าในอริยสัจทั้ง  ๔  ดั่งนี้ เพราะ ฉะนั้น จึงเป็นหลักธรรมสำคัญในพุทธศาสนา

การเห็นอริยสัจก็คือความที่ได้ศึกษาปฏิบัติธรรมจนรู้เห็นในอริยสัจทั้ง  ๔  นี้ด้วยปัญญาของตน  เป็นเครื่องกำจัดกิเลสและกองทุกข์ในสันดานให้สิ้นไปบางส่วนบ้าง  สิ้นเชิงบ้าง  แต่แม้ว่ายังไม่รู้เห็นด้วยปัญญาของตน  แต่ว่าศึกษาให้มีความรู้จำได้แม้ด้วยสัญญา  และพยายามที่จะทำความเข้าใจในอริยสัจทั้ง ๔ นี้  และก็ปฏิบัติละสมุทัย  เหตุให้เกิดทุกข์  และปฏิบัติมรรคมีองค์แปด  รวมเข้าในศีล  สมาธิ  ปัญญา  ให้ยิ่งขึ้นไปโดยลำดับ  ก็ย่อมจะทำให้ได้ปัญญารู้เห็นในอริยสัจทั้ง ๔ นี้โดยลำดับ  แม้แต่ในขั้นตั้งแต่เห็นราง ๆ  แล้วก็จะแจ่มแจ้งขึ้นมาเรื่อย ๆ

นิพฺพานสจฺฉิกิริยา ความกระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน   เป็นอันว่าได้แสดงถึงเป้าหมายที่พึงบรรลุในพุทธศาสนา  คือนิพพาน  และธรรมที่แสดงในพุทธศาสนานั้นก็สรุปลงได้ว่า   เป็นทิฏฐธัมมิกัตถะ  คือประโยชน์ปัจจุบัน  ๑  เป็นสัมปรายิกัตถะ  ประโยชน์ภายหน้า  ๑  ปรมัตถะ  ประโยชน์อย่างยิ่ง  ๑  สำหรับที่เป็น ทิฏฐธัมมิกัตถะและสัมปรายิกัตถะนั้นเป็นโลกียะ  เกี่ยวด้วยโลก  คือยังเกี่ยวแก่ความที่อยู่ในโลก  ครองตัวอยู่ในโลกอันหมายถึงจิตใจ  จิตใจที่ยังข้องติดอยู่ในโลก  โดยตรงก็คือยังมีกิเลสอันเป็นเหตุให้ยึดถือ  และยังมีความทุกข์ต่าง ๆ  อันเป็นความทุกข์ของโลก  รวมเข้าในความเกิดแก่เจ็บตาย  แต่ว่าก็เกิดมาดี  มีความสุขทั้งในปัจจุบันและทั้งในภายหน้า   แก่ก็แก่ดี  เจ็บก็เจ็บดี  ตายก็ตายดี  คือว่าไปดีเป็นสุคติ  ดั่งนี้เรียกว่าเป็น   ทิษฐธัมกัตถะ  ประโยชน์ปัจจุบัน  สัมปรายิกัตถะ  ประโยชน์ภายหน้า  ก็เป็นโลกียะเกี่ยวอยู่กับโลก  คือจิตใจยังมีผูกพันเป็นไปอยู่ในโลก  ต้องแก่เจ็บตายอยู่ในโลก  ก็เป็นสุคติคือไปดี  คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์อันเป็นโลกียะ  คือเกี่ยวกับโลก  สำหรับจิตใจที่ยังมีกิเลสผูกพันอยู่กับโลก   ยังละกิเลสไม่ได้ดั่งนี้ส่วนหนึ่ง  และที่เป็นปรมัตถะ  ประโยชน์อย่างยิ่งคือนิพพาน  ก็เป็นคำสั่งสอนที่ปฏิบัติให้พ้นโลก  อันหมายความว่าจิตใจนั้นพ้นจากความติดความผูกยึดถือติดพันอยู่ในโลก  ก็คือละกิเลสอันเป็นเหตุให้ติดพัน ยึดถืออยู่กับโลกนี้เสีย  ได้บางส่วนบ้าง  สิ้นเชิงบ้าง  คือว่าละสังโยชน์  ๑๐  นั่นแหละ  ได้บางส่วนบ้างสิ้นเชิงบ้าง  โดยที่การปฏิบัตินั้นเข้าขั้นตัดกิเลสได้เป็นมรรคเป็นผล  และเมื่อเป็นมรรคเป็นผลก็เป็นนิพพาน  เพราะฉะนั้น  จึงได้มีแสดงว่ามรรค ๔  ผล  ๔  นิพพาน ๑  เป็นโลกุตรธรรม  ธรรมที่อยู่เหนือโลกพ้นโลกก็คือพ้นกิเลสตามทางแห่งพุทธศาสนา  และมรรค  ๔  ผล ๔  นั้น  ได้มีแสดงไว้ในวินัยมุข  เล่ม  ๑  ในสิขาบทที่  ๔  ที่ว่าด้วยการอวดอุตริมนุสธรรม  โดยที่มรรคผลนี้เป็นอุตริมนุสธรรม  ธรรมที่ยิ่งของมนุษย์  หรือธรรมของมนุษย์ผู้ยิ่ง  และนิพพานนั้นก็บรรลุสืบต่อจากมรรคและผล  โดยที่มีเปรียบไว้เหมือนอย่างคนที่มีโรค  จึงบริโภคยาแก้โรค  ยานั้นที่เป็นเครื่องกำจัดโรคระงับโรคก็เหมือนอย่างมรรค  โรคที่หายไประงับไปก็เปรียบกับผล  และความที่ร่างกายหายโรคก็เป็นร่างกายที่มีสุขภาพอนามัย   มีอำนาจมีเสรีในอันที่จะประกอบกิจการงานค่าง ๆ เป็นต้น  ดั่งนี้ก็เทียบกับนิพพาน  จิตใจก็เหมือนกัน  จิตใจมีโรคก็คือมีกิเลส  กิเลสต่าง ๆ เหมือนอย่างโรคของร่างกาย  จึงต้องบริโภคยา  ก็คือปฏิบัติธรรม  และเมื่อปฏิบัติธรรมจนถึงธรรมที่ปฏิบัตินั้นกำจัดกิเลสได้  นั่นก็เป็นมรรค  การกำจัดกิเลสได้คือกิเลสหายไปก็เป็นผล  จิตใจก็สู่สภาพที่ไม่มีโรค  ไม่มีกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหมดก็เป็นนิพพาน  เพราะฉะนั้น  มรรคผลนิพพานนั้นจึงเนื่องกัน  แต่ก็แจกเป็นมรรค  ๔  ผล   ๔  นิพพาน  ๑

การกระทำให้แจ้งนิพพาน  ก็คือการปฏิบัติจนถึงละกิเลสได้  บางส่วนหรือสิ้นเชิงเป็นมรรคเป็นผล  จิตใจก็สู่สภาพที่ไม่มีกิเลสบางส่วนหรือสิ้นเชิง  ก็เป็นนิพพานไปโดยลำดับ  ดั่งนี้ชื่อว่ากระทำให้แจ้งนิพพาน  และแม้นิพพานจะมีความหมายที่สูงดั่งนั้น  แต่ก็มีการแสดงนิพพานที่เรียกว่า  ตทังคนิพพาน  คือนิพพานด้วยองค์นั้น  หมายความว่า  การปฏิบัติในขั้นธรรมดาสามัญนี้แหละ  เมื่อปฏิบัติธรรมทีหนึ่ง  ก็ระงับกิเลสกันได้ทีหนึ่ง  ก็เป็นนิพพานกันทีหนึ่ง  เช่นว่าความโกรธบังเกิดขึ้น ก็ทำเมตตาภาวนาหรือว่าอบรมปัญญา  เมื่อเมตตาภาวนาและปัญญาแรงก็ระงับความโกรธได้  ก็เป็นมรรคเป็นผลกันทีหนึ่ง   และจิตใจที่หายโกรธก็เป็นนิพพานกันทีหนึ่ง  แม้เมื่อราคะบังเกิดขึ้น  โมหะบังเกิดขึ้นก็เช่นเดียวกัน  เมื่อปฏิบัติธรรมระงับ  ก็เป็นมรรคเป็นผลเป็นนิพพานกันทีหนึ่ง ๆ ดั่งนี้เรียกว่า  ตทังคนิพพาน  เป็นนิพพานที่ได้ด้วยการปฏิบัติในเมตตา  ในปัญญา  หรือในธรรมข้อนั้น ๆ  กันคราวหนึ่ง ๆ   ดังนี้ก็เป็นตทังคนิพพาน  ก็นิพพานได้ดั่งนี้  และเมื่อได้ปฏิบัติจนได้ดับกิเลสกันคราวหนึ่ง ๆ จิตใจก็ได้พบกับภาวะที่สงบจากกิเลสกันคราวหนึ่ง ๆ  ก็ให้สงบดูใจที่สงบนี้ให้แจ่มแจ้งว่า  ใจที่สงบกิเลสนี้ดีอย่างนี้ ๆ  สงบอย่างนี้ ๆ ให้เข้าใจแล้ว  ก็จะทำให้บังเกิดฉันทะคือความพอใจ  ใคร่ที่จะปฏิบัติให้พบกับภาวะในจิตของตนที่สงบระงับดังกล่าวนั้นยิ่ง ๆ ขึ้นไป

ต่อจากนั้น  พระพุทธเจ้าก็ตรัสมงคลเป็นคาถาสุดท้าย  อันเป็นคาถาที่สิบ  ที่แสดงมงคลว่า

ผฏฺฐสฺส  โลกธมฺเมหิ จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลาย

จิตฺตํ  ยสฺส  น  กมฺปติ ถูกต้องแล้ว  ย่อมไม่หวั่นไหว

อโสกํ ไม่มีโศก

วิรชํ มีธุลีไปปราศแล้ว

เขมํ เกษม

เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด

มงคลที่ตรัสแสดงในคาถานี้เป็นการตรัสแสดงถึงจิตที่ได้อบรมปฏิบัติในมงคลต่างๆ ที่ตรัสแสดงมาข้างต้นโดยลำดับว่า  จิตที่ไม่หวั่นไหวในเมื่อได้กระทบถูกโลกธรรม   และก็วางเป็นหลักสำหรับปฏิบัติทั่วไปด้วยว่า  จิตที่ไม่หวั่นไหวได้เช่นนี้เป็นมงคลอันสูงสุด   โลกธรรมนั้นแปลว่าธรรมของโลกหรือธรรมสำหรับโลก   ได้แก่ ลาโภ ลาภ อลาโภ ไม่ได้ลาภหรือเสื่อมลาภ ยโส ยศ อยโส ไม่ได้ยศหรือเสื่อมยศ นินฺทา ความถูกนินา ปสํสา ความได้รับการสรรเสริญ สุขํ คือความสุข ทุกฺขํ คือความทุกข์ต่างๆ ทางกายทางใจ ทั้ง ๘ ประการ  ชื่อว่าโลกธรรม   เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นแก่บุคคลทั้งหลายในโลกไม่มียกเว้น  เกิดขึ้นทั้งแก่สามัญชนทั่วไปทั้งแก่อริยบุคคล  เกิดขึ้นทั้งแก่พระพุทธเจ้าเองและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย   แต่ว่าสำหรับสามัญชนทั่วไปนั้นมีความยินดีในเมื่อได้ลาภได้ยศได้สรรเสริญได้สุข  ย่อมมีความยินร้ายในเมื่อพบกับความไม่ได้ลาภหรือเสื่อมลาภ  ความไม่ได้ยศหรือเสื่อมยศ  ความที่ต้องถูกนินทา  และความทุกข์ทางกายทางใจต่างๆ    ทั้งนี้ก็เพราะว่าสามัญชนทั่วไปนั้นเมื่อได้รับโลกธรรมแล้วไม่ได้พิจารณาให้เห็นว่าโลกธรรมนี้เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา   แต่อริยบุคคลทั้งหลายนั้นเมื่อได้รับโลกธรรม  ก็ย่อมพิจารณาให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา   เพราะฉะนั้น   โลกธรรมเหล่านี้จึงครอบงำจิตใจของปุถุชนหรือสามัญชนทั้งหลายได้  แต่ว่าไม่ครอบงำจิตใจของพระอริยบุคคลทั้งหลายได้   สำหรับบุคคลที่มีโลกธรรมครอบงำจิตใจได้  เพราะมิได้มีปัญญาพิจารณาให้เห็นตามเป็นจริง   ย่อมมีความยินดีความยินร้าย  ดั่งนี้มีชื่อว่ามีจิตใจที่หวั่นไหว   แต่ว่าพระอริยบุคคลนั้นย่อมเป็นผู้ที่มีจิตใจไม่ยินดียินร้าย  หรือวางใจเป็นกลาง  ไม่สะดุ้งสะเทือนหวั่นไหว  ได้ชื่อว่าไม่หวั่นไหว  เพราะฉะนั้น   การที่มีจิตยังหวั่นไหวอยู่ ก็ชื่อว่าเสียมงคลไปหรือไม่ได้มงคล  แต่ว่าถ้ามีจิตใจไม่หวั่นไหว  พยายามรักษาจิตให้คงที่ได้   ก็ได้ชื่อว่าพยายามรักษามงคลไว้ได้   หรือมีมงคลอันสูงสุดสำหรับตัวเอง

ได้ตรัสแสดงต่อไปว่าจิตที่ไม่หวั่นไหวนี้ย่อมเป็นจิตที่ อโสกํ คือว่าไม่มีโศก  คือไม่มีทุกข์ที่จะทำให้จิตใจเหือดแห้ง  ไม่สบายปั่นป่วนเดือดร้อน วิรชํ เป็นจิตใจที่ไม่มีธุลีละอองมาจับต้อง    ธุลีละอองก็คือกิเลส    ไม่มีกิเลสคือความยินดีความยินร้ายเข้ามาจับต้อง เขมํ เป็นจิตใจที่เกษมคือปลอดโปร่งสวัสดี  ความเกษมก็คือความปลอดโปร่งสวัสดี  ยอดของความสวัสดีก็คือจิตใจที่ไม่มีโศก  ไม่มีผงธุลีคือกิเลสเข้าจับต้อง  ก็คือจิตใจที่ไม่หวั่นไหวในเมื่อกระทบกับโลกธรรมทั้งหลาย    แต่ว่าการที่จะมีจิตใจบรรลุถึงความไม่กระทบหวั่นไหวดังที่ได้กล่าวแล้ว   ถ้าว่าอย่างอุกฤษฎ์  คือสูงสุด  ก็ต้องปฏิบัติจนเห็นอริยสัจ  ทำให้เห็นนิพพานแจ่มแจ้งดังกล่าว   แต่ว่าแม้ว่าจะปฏิบัติในศีล  สมาธิ  ปัญญา  มาโดยลำดับในขั้นที่เป็นสามัญ   เมื่อได้ปัญญาพิจารณาเห็นเกิดดับ  เห็นทุกข์คือความที่ตั้งอยู่ไม่ได้   ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปของสิ่งทั้งหลายตามสมควร  ก็ย่อมจะไม่หลงติดยินดียินร้ายในโลกธรรมทั้งหลายจนเกินไป  จะมีความหลงติดอยู่บ้างก็เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังละไม่ได้หมด  แต่ไม่ถึงกับหลงกันอยู่จนถึงกับล่มจมหมดเนื้อหมดตัว  เพราะยังตั้งตัวไว้ได้ในธรรมตามสมควร  แม้ดั่งนี้ก็ได้ชื่อว่าได้ประคองจิตไว้เพื่อไม่หวั่นไหวตามสมควร  และโดยเฉพาะก็คือว่า   ไม่หวั่นไหวไปจนถึงกับทำชั่ว  รักษาตนรักษาจิตไว้ได้  ยั้งตนไว้ได้ยั้งจิตไว้ได้  ห้ามตนไว้ได้ห้ามจิตไว้ได้จากการกระทำชั่วทั้งหลาย  แม้ว่าจะประสบโลกธรรมทั้งหลายที่ไม่ปรารถนา  และแม้ปรารถนาและได้มาก็ตาม  ก็ไม่หลงไปจนถึงหมดเนื้อหมดตัวหลงไปจนหมดสิ้น  จะทำให้เกิดความลำพอง  ชักนำให้ทำความชั่วเพื่อจะให้ได้มายิ่งขึ้น  เพราะจะยังมีสติปัญญาที่จะยับยั้งชั่งใจห้ามปรามตัวเองจากการที่จะปฏิบัติไปในทางที่ชั่ว   ประคองให้ไปในทางที่ดี  อันเป็นไปในทางที่เรียกว่า  อัตตสัมมาปณิธิ  ตั้งตนไว้โดยชอบเป็นต้น   ทำให้สามารถปฏิบัติในข้อปฏิบัติที่เป็นมงคลทั้งหลายแม้ที่ตรัสไว้อย่างสามัญสำหรับคนทั่วไปได้โดยลำดับ   แม้ดั่งนี้ก็ยังเป็นการดี  ก็ชื่อว่าเป็นการรักษาจิตใจไม่ให้หวั่นไหวได้ตามสมควร

สำหรับในคาถาที่ ๑๐  นี้ก็แยกออกเป็นมงคลได้ คือ  ข้อที่จิตไม่หวั่นไหวในเมื่อถูกโลกธรรมทั้งหลายถูกต้อง  ก็นับเป็นมงคลข้อหนึ่ง  อโสกํ  ไม่มีโศก  ความที่รักษาจิตไม่ไห้มีความโศกก็เป็นมงคลข้อหนึ่ง  วิรชํ  ความรักษาจิตไว้ไม่ให้มีกิเลสธุลีเข้ามาจับบังเกิดขึ้นแปดเปื้อน  คอยปัดเป่าผงกิเลสธุลีออกไปจากจิตใจอยู่เสมอ   เหมือนดังทำความสะอาดปัดกวาดห้องของเราเอง  คอยกวาดคอยถูให้มีความสะอาดอยู่ก็เป็นมงคลข้อหนึ่ง  เขมํ  เกษมคือปลอดโปร่งสวัสดีก็เป็นมงคลอีกข้อหนึ่ง  ก็นับเป็นมงคลในคาถานี้ได้ ๔ ข้อ

วันนี้ยุติเท่านี้