หมวด: ดาวเคราะห์และดาวอุปเคราะห์ ในโหราศาสตร์พระเวท
จำนวนผู้อ่าน: 2019

Upagrahas effect Part 3

ดาวอุปเคราะห์วยะตีปาตะ (व्यतीपात) เป็นดาวอุปเคราะห์ดวงที่ 2 ในกลุ่มธูมะ ซึ่งเป็นดาวอุปเคราะห์ประเภท”อะประการศะเคราะห์” (अप्रकाशकग्रह) ซึ่งมีทั้งหมด 5 ดวง และส่วนดาวอุปเคราะห์ประเภท กาละเวลา कालवेला ซึ่งมีทั้งหมด 9 ดวง ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถส่งผลต่อดวงชะตาให้พลิกผันได้อย่างเกินความคาดหมาย อีกทั้งก็เป็นดาวที่ทรงพลังเป็นอย่างมากซึ่งก็ไม่น้อยไปกว่าพลังและอิทธิพลของดาวราหูและดาวเกตุ ซึ่งก็เป็นดาวฉายาเคราะห์เช่นกัน และในบทนี้เราจะศึกษาผลของดาวอุปเคราะห์วยะตีปาตะโดยเฉพาะ

ดาวอุปเคราะห์ในโหราศาสตร์ระบบต่างๆ

เมื่อเราได้ศึกษาและเริ่มรู้จักกับดาวอุปเคราะห์ทีละดวงๆไปเรื่อยๆ จนครบทั้งหมด เราก็จะเริ่มรู้สึกว่าในการวินิจฉัยดวงชะตาแบบดั้งเดิมที่ใช้ดาวนพเคราะห์ नवग्रह ทั้ง 9 ดวงนั้น ก็อาจจะไม่เพียงพอเสียแล้ว

ซึ่งโหราศาสตร์สากลและโหราศาสตร์ไทยในยุคหลัง ก็พบว่า มีจุดสกัดหรือมีพลังอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นในพื้นดวงชะตา แต่กลับมีพลังอิทธิพลรุนแรงยิ่งกว่าดาวนพเคราะห์ที่เคยรู้จัก อีกทั้งส่งผลต่อดวงชะตาให้พลิกผันไปกลับกลายเป็นคนละคนไป

ต่อเมื่อทางนักดาราศาสตร์ค้นพบดาวมฤตยู(๐) เนปจูน(น) พลูโต(พ)* และก็แน่นอนทางโหราศาสตร์ทั้งไทยและสากลก็ย่อมนำดาวที่ค้นพบใหม่เหล่านี้มาใช้ด้วยเช่นกัน โดยนำมาใส่ในผังดวงชะตาทั้งดวงเดิมและดวงจร แต่ก็น่าเสียดายที่ดาวเหล่านี้เคลื่อนตัวช้ามากและใช้เวลาเป็นนานนับสิบปีกว่าจะโคจรพ้นราศีและไม่มีปูมโหรใดใดบันทึกผลกระทบของดาวเหล่านี้มาก่อนและต่อมาก็เริ่มมีการบันทึกผลไว้บ้างแต่ก็ไม่เพียงพอ

(1) Uranus ดาวมฤตยู(๐) หรือ อรุณะ अरुण  สถิตราศีละประมาณ 7 ปี ผู้ค้นพบดาวยูเรนัส คือ เซอร์วิลเลียม เฮอร์เชล(Sir William Herschel) พบในปี พ.ศ. 2324 (ค.ศ. 1781)

(2) Neptune ดาวเนปจูน(น) หรือ วารุณะ वरुण สถิตราศีละประมาณ 14 ปี  ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2389 (ค.ศ. 1846) เออร์เบียง เลอ เวอร์ริเยร์ (Urbain Le Verrier) คำนวณว่า ต้องมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งรบกวนการโคจรของดาวยูเรนัส จนเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2389 โจฮันน์ จี. กาลเล (Johann G. Galle) นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันใต้แห่งหอดูดาวเบอร์ลิน ได้ค้นพบดาวเนปจูน ในตำแหน่งใกล้เคียงกับผลการคำนวณดังกล่าว

(3) Pluto ดาวพลูโต(พ) หรือ ยามะयम สถิตราศีละประมาณ 15-26 ปี ดาวพลูโตถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2473 (ค.ศ. 1930) โดยไคลด์ ทอมบอ และถูกจัดให้เป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์

ต่อมาโหรสากลในประเทศเยอรมันนีประมาณ100 ปีเศษที่ผ่านมา ก็ได้มีการตั้งโหราศาสตร์สำนักใหม่ที่เรียกว่าโหราศาสตร์สำนักฮัมบวร์ค หรือ โหราศาสตร์ยูเรเนียน โดยการนำ 'ศูนย์รังสี' (Half Sum หรือ Midpoint) และ 'จุดอิทธิพล' (Sensitive Point) มาใช้ในการพยากรณ์ โดยรวมและจะมีจุดอิทธิพลมากกว่า 5,000 จุด อีกทั้งเพิ่มดาวเคราะห์ซึ่งอยู่ถัดจากดาวเนปจูนไปอีกไกลแสนไกล (Transneptunian Objects) หรือที่เรียกว่า”ดาวทิพย์” อีก 8 ดวง รวมเป็น 22 ดวง

ส่วนครูโหรไทยมีความสามารถมากกว่านั้น โดย นายมี ลงกาใหม่ โหรในสมัยต้นรัตนโกสินทร์(รัชกาลที่ ๑)หรือประมาณ 200 ปีก่อน ท่านก็ได้ค้นพบจุดสกัดบางอย่างที่มีอิทธิพลต่อดวงชะตา จึงได้มีการคิดค้นดาวเคราะห์วงนอกของระบบสุริยะคือดาวยูเรนัสหรือดาวมฤตยู(๐)และดาวอุปเคราะห์คือดาวเกตุไทย(๙)และนำมาใช้ในการพยากรณ์ อีกทั้งมีความแม่นยำเป็นอย่างมาก ซึ่งดาวทั้งสองดวงนี้เป็นดาวที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว และนำมาใช้มากว่าสองร้อยปีแล้ว และจะเห็นได้ว่าโหราศาสตร์หลายสายต่างก็มีแนวคิดในเรื่องจุดอิทธิพล หรือจุดสกัด ที่มองไม่เห็นคล้ายๆกัน ซึ่งตรงกับแนวคิดของ”ดาวอุปเคราะห์”ที่มีในโหราศาสตร์พระเวทมากว่า 5,000 ปี

**ประวัติ นายมี ลงกาใหม่ บูรพาจารย์โหรไทย ผู้ค้นพบดาวเกตุและมฤตยู

ก็ในเมื่อครูโหรสายพระเวทแต่โบราณก็ใช้ดาวอุปเคราะห์ทั้งหลายนี้มาตลอดนับพันปี ต่อพอสืบทอดมาถึงยุคเรา ดาวอุปเคราะห์เหล่านี้ก็สูญหายไปจากกระดานชนวนไปจนหมดสิ้น ซึ่งก็ไม่แน่ว่า กฎเกณฑ์ของดาวอุปเคราะห์เหล่านี้ อาจจะเป็น “กลเม็ดเด็ดพรายหรือเคล็ดลับ”ของครูโหรไทยแต่โบราณก็เป็นได้ ซึ่งอาจจะไม่ถ่ายทอดให้กับศิษย์ทั่วไป หรือไม่ก็อาจจะถ่ายทอดให้เฉพาะลูกหลานสายโลหิตของตนเท่านั้น นานวันเข้าก็ค่อยๆสาบสูญไปตามกาลเวลา

ถึงตอนนี้หากเราได้ศึกษาและเรียนรู้เอาไว้ ก็เท่ากับว่าพวกเราได้ช่วยกันเปิดเผยความรู้อันเร้นลับที่เคยปกปิดและหายสาบสูญมานานแสนนาน  อีกทั้งได้รื้อฟื้นและนำมาใช้เป็นเครื่องมือพิเศษที่จะช่วยให้เราเข้าถึงอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาลของวิชาโหราศาสตร์      

 

ผลดี-ร้ายของดาวอุปเคราะห์วยะตีปาตะมีดังนี้

2.วยะตีปาตะ (व्यतीपात)เป็นบุตรของพระราหู หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า ดาวปาตะ(पात) ซึ่งความหมายในภาษาสันสฤตคำว่า “วยะตีปาตะ” แปลว่า การตกลงไป  การดูหมิ่น และตัวบ่งชี้ถึงความหายนะ

และต่อไปนี้จะกล่าวถึงผลดี ผลร้ายของ วยะตีปาตะ ที่สถิตในเรือนต่างๆ ในดวงชะตา ซึ่งอ้างอิงจากคัมภีร์พฤหัตปะราศะระ โหราศาสตรา อัธยายะที่ 25 ได้กล่าวไว้ดังนี้

 

เรือนที่ 1: เจ้าชะตาจะทุกข์ยาก อุปนิสัยโหดร้าย ชอบการทำลายล้าง โง่เขลา และประพฤติตนไม่ดีต่อญาติพี่น้อง

เรือนที่ 2: เจ้าชะตาจะเป็นคนคดโกง นิสัยโมโหร้าย ชอบมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ไร้ความปราณี เนรคุณ อกตัญญู เป็นคนเลวทรามและบาปหนา

เรือนที่ 3: อุปนิสัยแน่วแน่มั่นคง มักจะได้เป็นนักรบ มีนิสัยใจกว้างและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มั่งคั่งร่ำรวย เป็นที่รักของกษัตริย์และหัวหน้ากองทัพ

เรือนที่ 4: เจ้าชะตาจะห้อมล้อมไปด้วยด้วยเครือญาติแต่กลับไม่มีลูกหลานหรือเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ซึ่งถือว่าโชคร้าย

เรือนที่ 5: เจ้าชะตาจะยากจนแต่รูปร่างหน้าตาดีมีเสน่ห์ แต่สุขภาพไม่แข็งแรง อารมณ์ร้าย ใจแข็งกระด้างและไร้ยางอาย

เรือนที่ 6: เจ้าชะตาจะเป็นผู้พิชิตศัตรู มีอำนาจ ร่างกายแข็งแรงและชำนาญในอาวุธและศิลปะทุกประเภท เป็นผู้สร้างสันติภาพและความสงบสุขให้เกิดขึ้น

เรือนที่ 7:  เจ้าชะตาจะเป็นคนไร้ทรัพย์สิน ไม่มีภรรยาและบุตร ใช้อำนาจข่มขู่สตรี นิสับเลวทราม หมกมุ่นในโลกีย์ ไร้ยางอาย ชอบแสวงหาสมัครพรรคพวก

เรือนที่ 8: เจ้าชะตาจะเป็นคนตาเหล่ หน้าตาอัปลักษณ์ ขี้เหร่ อาภัพ ชอบมุ่งร้ายต่อพราหมณ์(นักบวช,คนประพฤติดี) และทุกข์ทรมานด้วยโรคเกี่ยวกับเลือด

เรือนที่ 9: เจ้าชะตาจะมีธุรกิจและมีเพื่อนฝูงมากมายหลายประเภท เป็นผู้คงแก่เรียน มีความรู้มาก และมีวาทะอันคมคาย รักใคร่และประพฤติดีต่อภรรยา

เรือนที่10: เจ้าชะตาจะมั่งคั่งร่ำรวย เคร่งศาสนา ชีวิตสงบสุข เชี่ยวชาญในพิธีกรรมในศาสนา มีความรู้สูง เรียนดี มักมองการณ์ไกล

เรือนที่ 11: เจ้าชะตาจะมั่งคั่งร่ำรวยเป็นอย่างมาก มียศศักดิ์  มีหน้ามีตาในสังคม มีนิสัยสัตย์ซื่อ มั่นคงและฉลาดสุขุม และจะมีม้ามากมาย และมีความสนใจในการร้องเพลง

เรือนที่ 12: จิตใจเจ้าชะตาจะเต็มไปด้วยความโกรธ ชอบเข้าร่วมในกิจกรรมต่าง บางคนอาจจะพิกลพิการ ไร้ศาสนา และมักเกลียดชังญาติพี่น้อง

ข้อสังเกต ผลในด้านดีของดาวอปุเคราะห์วยะตีปาตะ ส่วนใหญ่จะให้ผลดีในเรือนที่ 3 และเรือนที่  6  หรือดาวอุปเคราะห์วยะตีปาตะ จะให้ผลดีเมื่อสถิตในภพสูงสุดของดวงชะตาซึ่งใกล้กับจุดจอมฟ้า(ทศมลัคน์)มากที่สุด ซึ่งก็คือเรือนที่ 9,เรือนที่ 10 และเรือนที่ 11.