Website แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ให้บริการฤกษ์ยามชั้นสูงของโหราศาสตร์ภารตะจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ และได้ผลตอบรับดีสูงสุดเป็นปีที่ 15 แล้ว WebSite ของเราให้การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากยุโรป "SiteGuarding" บริการดูฮวงจุ้ย แก้ฮวงจุ้ย เสริมฮวงจุ้ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี***

บทที่ห้า

กรรมดีตอบสนอง


คัมภีร์ :  ที่ว่าเป็นคนดี

อธิบาย  :   คือบุคคลที่สามารถนำเอาความดีที่กล่าวมาแต่ต้นทั้งหมดสามารถนำมาปฏิบัติได้  ก็เรียกว่าเป็นคนดี

จากนี้เป็นต้นไป...... จนถึงเป็นเทพเซียนปรารถนาได้  เป็นการพูดถึงบุญวาสนาที่ตอบสนองคนดี  ซึ่งมีประสิทธิภาพมาก  ต้องรู้ว่าการได้ชื่อว่าเป็นคนดีที่แท้จริงนั้น  เริ่มแรกต้องสามารถแยกแยะเรื่องถูกผิดให้ชัดเจนเสียก่อน  อย่าเข้าใจผิด  ต้องมีทั้งปัญญาและความกล้าหาญ  สุดท้ายก็ไปถึงจะดที่เป็นสภาวะ  “ลืมทั้งฉันและเขา”  การปฏิบัติต่อโลกด้วยความเมตตาและอภัย  ความหมายก็คือ  การปฏิบัติตนและปฏิบัติต่อผู้อื่น  จะต้องไม่ละเมิดขืนจิตฟ้าและใจคน   ถ้าทำได้ก็นับว่าเป็นกษัตริย์เหยากษัตริย์ซุน เจ้าโจวกง  และท่านขงจื่อกลับฟื้นคืนชีพ  ดังนั้น  ที่ว่าเป็นคนดี  ก็คือเอาใจฟ้าที่ชอบดีแล้วห่างไกลชั่ว  โดยที่ใจคนจะทำดีได้อย่างไร  โดยไม่มีความชั่วเล่า  เพราะว่าผู้คนมักจะละเลยตนเองที่ฝึกฝนนิสัยไม่ดี  เหมือนเป็นโรคจิตติดตัว  จนทำให้สูญเสียใจฟ้าที่มีมาแต่เริ่มแรก  เพราะฉะนั้น  มนุษย์ควรมีความดีและวิริยะก้าวไป  มีความชั่วก็ให้แก้ไขสำนึกผิด  เช่นนี้แล้วสภาวะของมีความดีไม่มีชั่วก็ทำได้


นิทาน ๑ :  หลี่เหวินเจิ้น  ในสมัยซ่ง  เมื่อภายหลังเกษียณผักผ่อนแล้วเนื่องในเทศกาลโคมไฟ  (หยวนเซียว)  ในพระราชจะมีโคมไฟประดับประดาอย่างสวยงาม  ฮ่องเต้ซ่งไถ่จงก็ให้หามเกี้ยวมาเชิญท่าน  เหวินเจิ้นกงเข้าวัง  ทั้งยังจัดที่นั่งให้เขานั่งข้างๆ  ฮ่องเต้  ฮ่องเต้ถึงกับรินสุราและคีบอาหารให้แก่เหวินเจิ้นด้วยตนเอง  ทั้งตรัสกับเหวินเจิ้นว่า  “ท่านเป็นคนที่ดีจริงๆ  รับตำแหน่งมหาอำมาตย์ถึง 2 ครั้ง  ตลอดเวลาไม่เคยทำร้ายจิตใจใคร  นี่แหละเป็นเหตุที่ข้าคิดถึงท่าน”  ภายหลังที่เหวินเจิ้นกงกลับมาบ้านแล้ว  เขาก็ให้โอวาทแก่บุตรชายว่า  “ตลอดชีวิตพ่อ ถึงแม้ไม่เคยทำหน้าที่หรือความดีความชอบอะไรพิสดารที่โลกตกตะลึง แต่พ่อไม่เคยจะปกปิดการทำดีของผู้อื่น หรือขัดขวางการก้าวหน้าเลื่อนขั้นของใคร  แม้กระทั่งในที่ผู้อื่นมองไม่เห็น (แอบ)  หลอกหรือข่มเหงตนเอง  การปฏิบัติต่อผู้อื่นจะค่อยระมัดระวังเอาคุณธรรมเป็นบรรทัดฐาน  และฐานะตนเอง เรื่องทั้ง 4 นี้พ่อถือว่าตนเองไม่ได้ล่วงละเมิด  วันนี้ฮ่องเต้ได้สรรเสริญว่า  พ่อเป็นคนดีต่อหน้าของขุนนางทั้งหลาย  ต้องรู้ว่าที่ว่าเป็นคนดีนั้น  แม้กระทั่งท่านขงจื่อก็ยังไม่เคยพูดและยังไม่เคยเห็นเลย !  แล้วพ่อเป็นคนอะไรจึงจะกล้ารับการสรรเสริญยกย่องเป็นคนดีได้  พวกเจ้าต้องจดจำไว้  ฮ่องเต้ยกย่องพ่อเกินไป  พวกเจ้าต้องขยันทำจริงใน 4 เรื่องที่พ่อพูดมาเมื่อครู่นี้  ถ้าพูดในฐานะต่อราชาก็เป็นความจงรักภักดีที่สุด  ในฐานะพ่อแม่ก็เป็นความกตัญญูที่สุด  เอาเรื่องนี้มาปฏิบัติบำเพ็ญและดูแลครอบครัวมาปฏิบัติต่อผู้อื่น  ถ้าทำได้ก็ถือเสียว่าไม่เสียทีที่เกิดมา

การที่ได้ชื่อว่าเป็นคนดี  พูดง่ายๆ  คือ หยุดชั่วทำดี  ถ้าหากถึงสุดยอดก็จะประจักษ์แจ้งถึงอริยมรรค  หรือสำเร็จเป็นเทพเป็นเซียนล้วนเป็นส่วนต่อขยายของความคิดดีนี้เอง !


นิทาน ๒ :  ซูจื่ออี่ เป็นชาวเจียงซี  ในสมัยหมิง เขาเป็นผู้ยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ  เป็นอุบาสกศิษย์ในพุทธศาสนา เขาโชคดีที่เป็นคนขยันทำงานทุกอย่างที่เป็นความดี  ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ หรือส่งเสริมคนทำความดี ถึงแม้จะเป็นหน้าหนาวหิมะตก หรือหน้าร้อนแดดเผา เขาก็ไม่บอกปัดเลย ด้วยเหตุนี้ ผู้คนก็ยกย่องเขาเป็นคนดีที่ยิ่งใหญ่  ภายหลังซูจื่ออี่ป่วยตายแล้ว  ต่อหน้ายมบาลเขารู้สึกไม่พอใจ  ยมบาลจึงให้ตรวจดูบัญชีความดีความผิด พอเปิดออก  ตลอดชีวิตที่เขาทำความดี ถ้าไม่ถูกบันทึกใต้คำว่า “ชื่อเสียง”  กับคำ “ผลประโยชน์”  ถึงตอนนี้ซูจื่ออี่จึงรู้สึกละอายและยอมจำนนเขาตายและฟื้นขึ้นมา  เขาบอกเรื่องนี้แก่ผู้อื่นว่า  ขอให้พวกท่านช่วยฉันบอกแก่ผู้ที่ทำดี ต้องมีความจริงใจ ทำความดีด้วยความจริงใจและต้องเอาใจของตนกวาดถูให้สะอาดหมดจด  อย่าให้เหมือนฉันเป็นอันขาด  หวังชื่อผลประโยชน์ไปทำความดี”  หลังจากนั้นอีก 5 วัน  เขาก็ตายไป  เพื่อนของเขา นายถังสือ พูดว่า  “ฉันเข้าใจจื่ออี่ดี เขาทำไปโดยหวังชื่อและผลประโยชน์  สำหรับผลประโยชน์แล้ว  จื่ออี่จะดูแคลนเรื่องทรัพย์สำคัญต่อสัตย์ ทำไมมาตอนหลังกลายเป็นคนชอบผลประโยชน์นั้น  คงเป็นตอนที่เขาขอร้องให้ชาวบ้านช่วยการกุศลความคิดเริ่มแรกดี มีปณิธานทำดี พอมีเงินทองตกอยู่ในมือ เขาเลยทำบาปเอาเงินทองไปใช้  เริ่มต้นพูดว่า  “ฉันยืมไปใช้ชั่วคราวเท่านั้น”  พอนานๆ  ไปยืมแล้วไม่คืน  นี่แหละที่ตลอดเวลาที่ซูจื่ออี่เหน็ดเหนื่อยทำความดี กลับได้มาซึ่งชื่อเสียงผลประโยชน์เป็นผลสรุปตรงนี้จะเห็นว่าในยมโลกจะเปิดโปงโทษบาปที่มนุษย์ซ่อนเร้นหักหลบไม่เห็นออกมาเหตุผลเป็นเช่นนี้  ฉันเข้าใจความหมายของจื่ออี่ดี  เพราะฉะนั้นจึงช่วยอธิบายให้เขา ด้วยเหตุนี้จึงขอประกาศแจ้งให้ชาวโลกที่ทำดีกว่าการทำดีต้องไม่มุ่งหวังไปทำและทำทุกอย่าง ตามแต่บุญสัมพันธ์  เพื่อประโยชน์กับเวไนย อย่างนี้จึงเป็นความดีสูงสุด  ไม่มีใจหวังตอบแทนการไปช่วยปลดทุกข์ให้เวไนย์ เตือนคนให้ทำดีมากขึ้น อันนี้เป็นความดีอันดับสอง การสั่งสมบุญกุศลลับ เพื่อตนเองตายแล้วไม่ต้องตกสู่ไตรวัฏฏะ  อันนี้เป็นความดีอันดับสาม  การทำความดีถ้าทำเพื่อชื่อเสียง  ก็เป็นเดินทางผิด  ถ้าหากมีความคิดโลภเพียงนิดเดียวเอาเงินบริจาคเข้ากระเป๋าตัวเอง  วันหลังตกนรกก็เหมือนดอกธนูที่ไปเร็วมาก จะไม่กลัวหรือ”  นิทานเรื่องนี้หวังให้คนที่ย่อมทำดี  สามารถเข้าใจเหตุผลในเรื่องได้ คือต้องไปทำอย่างจริงใจ



คัมภีร์  :    คนให้ความเคารพ ธรรมแห่งฟ้าคุ้มครอง บุญวาสนาตามมา  ชั่วร้ายถอยห่าง  เทพศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง


อธิบาย :  ตลอดชีวิตของคนดีที่ทำเรื่องดี  ทุกคนพอใจ  เพราะฉะนั้นทุกคนก็จะเคารพนับถือเขา  และเข้ากับหลักธรรมฟ้าเบื้องบน  เพราะฉะนั้นเทพเจ้าบนสวรรค์ต่างๆ  ก็จะปกปักรักษาคุ้มครองเขา  ทำให้เขาได้มีอายุยืน  ร่ำรวย  สุขภาพดี เป็นบุญวาสนาตอบแทน  เป็นข้าราชการก็มีความกลมเกลียวในหน้าที่และมีทรัพย์สิน  บุญวาสนาตามมา เขาไม่ต้องไปแสวงหาก็มีมาเอง  ผีร้ายต่างๆ  ก็ถอยห่างหลบหลีกเขาหมดไม่กล้าเข้ามารุกราน เทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็จะคอยคุ้มครองเขาอย่างลับๆ คอยช่วยเหลือเขาตลอดเวลา

“คนให้ความเคารพ”  ความดีมีอยู่ในจิตเดิมของทุกคน  เป็นจิตฟ้าคือจิตสำนึกดี จิตนี้เมื่อเคลื่อนไหวหรือมีการกระทบ  ก็จะมีการตอบสนอง ถึงแม้จะเป็นคนที่โง่เขลาเบาปัญญา  แต่พอได้ยินเรื่องดีๆ  เข้า  พวกเขาก็สรรเสริญยกย่อง  ไม่ว่าเธอจะเป่นคนอำมหิตชั่วร้ายยิ่งปานไหน  แต่พอเห็นคนดีเข้าก็ไม่กล้าไปรุกรานเขา  ทั้งนี้เพราะจิตสำนึกดีเผยปรากฎ ก็จะบังเกิดแรงระงับไม่มุ่งร้ายเอง  ทำไมจึงพูดว่าทุกคนให้ความเคารพคนดี  ทั้งนี้เพราะคุณธรรมของเขามีจุดที่ควรเคารพอย่างแท้จริง  เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครไม่เคารพคนดี


นิทาน ๑ :   ท่านซือหม่ากวง  เดินทางจากลั่วหยางไปยังเมืองหลวงเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้  ประชาชนบนถนนเห็นเข้าก็ยกมือขึ้ นบนหน้าผากแล้วทำความเคารพ แสดงความนับถือ  ซือหม่ากวงไปถึงไหนประชาชนก็ตามไปถึงที่นั่น  ยิ่งตามก็ยิ่งมากขึ้น  ในที่สุดประชาชนก็กั้นให้ซือหม่ากวงลงจากรถแล้วพูดกับเขาว่า  “ท่านผู้ใหญ่ซือหม่ากวงขอรับ !  ขอท่านอย่ากลับมาที่ลั่วหยาง ให้อยู่เสียที่เมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือฮ่องเต้ปกครองบ้านเมือง พวกเราประชาชนก็จะอยู่เย็นเป็นสุข !”

สมัยที่ท่านหลิวต้ากัง  รับราชการอยู่ที่ราชสำนัก  ประชาชนต่าง่สรรเสริญว่าเขาเป็นผู้จงรักภักดี !

ท่านฟู้เหวินตง  ขี่บนหลังลาไปถึงสะพานเทียนสิน  ชาวเมืองได้ยินต่างพากันวิ่งไปดูเขา  ทำให้เมืองทั้งเมืองโล่งไม่มีคน !

ตอนที่คุณเจียคังเจี๋ย  ออกไปท่องเที่ยวข้างนอก คนที่มีการศึกษากับประชาชนเห็นเขาเข้า  ไม่มีใครสักคนที่ไม่รีบเร่งวิ่งมาแสดงความยินดีต้อนรับเขา  ขณะที่เร่งรีบบางคนถึงกับใส่รองเท้ากลับข้างก็มี !

พวกเขาดีใจและชื่นชมคนดีถึงขนาดนั้น  แล้วความรู้สึกของฟ้าเล่า  ก็น่าจะรู้  ถ้าหากไม่ใช่คนดีที่แท้จริง  ก็จะมีจุดที่ทำให้คนเคารพนับถือ  ทำไมจึงสามารถทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งขนาดนั่น  ดังตัวอย่างที่ยกมาหลายคน  ตอนที่คนเหล่านี้มีชีวิตอยู่  ถ้าไม่ใช่เป็นมหาอำมาตย์ก็เป็นอาจารย์คน ภายหลังตายแล้ว  ก็จะกลายเป็นเทพเจ้าแน่นอน

“ธรรมแห่งฟ้าคุ้มครอง”  ธรรมแห่งฟ้าไม่ลำเอียง ไม่มีเห็นแก่ตัว แต่ก็จะมีความรู้สึกตอบรับกับคนดีเป็นประจำ คือติดต่อถึงกัน  โดยเฉพาะคนดีก็ไม่ต้องพูดอะไร  ฟ้าเบื้องบนก็ตอบสนองได้อย่างอัศจรรย์  เทพเจ้าก็ไม่ต้องให้คนดีต้องกวักเทพเจ้า  ไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน ก็ได้รับความคุ้มครองจากเทพเจ้า  ด้วยเหตุนี้ตนเองต้องขยันทำงานสุดความสามารถ  ตั้งใจไม่ขาดตอน  มีความมั่นคงถึงที่สุดในที่สุดก็จะซาบซึ้งถึงฟ้าเบื้องบน  ในคัมภีร์ฉุดช่วยทุกข์ว่า  “หนึ่งใจดุจนี้  ฟังชะตาฟ้า”  จะเห็นว่าคนดีที่ทำดี  เขาจะไม่มีใจแม้แต่ น้อยที่ขอเอา !  ท่านจูจื่อ สมัยซ่ง พูดว่า  “ฟ้าดินไม่มุ่งหวังแม้แต่น้อยเพียงบ่มเล้ยง่สรรพสิ่งเพื่อฟ้าที่ทำที่มุ่ง  ล้วนเข้ากันกับใจฟ้า  แล้วเบื้องบนจะไม่คุ้มครองได้อย่างไรหรือ


นิทาน ๑ :  หลิวอันซื่อ  ในสมัยซ่ง  ถวายหนังสือถึงฮ่องเต้  รายงานถึงความถูกความผิดของขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนัก  และพูดถึงจางตุ้นว่าเป็นอันธพาล  ขอให้ฮ่องเต้อย่าใช้คนผู้นี้  ประเทศชาติจะได้ไม่เสียหาย ประชาชนจะได้ไม่ถูกทำร้าย  ต่อมาฮ่องเต้ไม่ฟังข้อเสนอของหลิวอันซื่อ ยังให้จางตุ้นเป็นมหาอำมาตย์  หลิวอันซื่อก็ถูกลดขั้นและถูกสั่งย้ายไปในที่ไกลๆ  ต้องข้ามน้ำข้ามเขาเป็นพันๆ ลี้ สั่งย้ายอยู่ตลอดเวลา ทุกคนต่างพูดกันว่า  “หลิวอันซื่ออายุมากแล้ว  ยังถูกจางตุ้นแก้แค้นสั่งย้ายไกลเช่นนี้ คงตายแน่ไม่ต้องสงสัย”  แต่หลิวอันซื่อก็ไม่สะทกสะท้านยังคงสบายดีแม้อายุจะ 80 ปีแล้ว  กลับไม่เจ็บป่วยเลยสักวัน  ขณะที่หลิวอันซื่อถูกสั่งย้าย  มีคนหนึ่งเอาใจจางตุ้น รับอาสาไปฆ่าทิ้งหลิวอันซื่อ  เมื่อเขามาถึงที่อยู่ของหลิวอันซื่อ  ขณะเตรียมตัวจะลงมือ  ทันใดนั้น เขาเหมือนถูกของแข็งตีเอากระอักเลือดจนตาย !


นิทาน ๒ :  ถังจื่อเหลียน นำโลงศพบิดาจากเสฉวน  ล่องเรือกลับบ้านเดิมที่จี๋ซุ่ง  เมืองเจียงซี  ตอนนั้นเป็นหน้าฤดูน้ำหลาก น้ำในแม่น้ำเหยาถังไหลเชี่ยวกรากมาก  ประจวบกับฝนก็ตกลงมามาก  คนเรือยิ่งหวาดกลัว  จื่อเหลียนก็เสียใจมาก  กลัวว่าศพพ่อจะไปไม่ถึงบ้านจึงแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วร้องไห้  พอร้องไห้เท่านั้น  น้ำในแม่น้ำก็ลดลงทันทีถึง 20 ฟุต  รอจนกว่าเรือของเขาจะผ่านพ้นไปก่อน  น้ำในแม่น้ำก็เอ่อล้นขึ้นมาใหม่  และไหลเชี่ยวกรากเหมือนเดิม  นี่แหละความกตัญญูเป็นคุณธรรมที่สำคัญ  เพราะฉะนั้น เทพฟ้าจึงได้คุ้มครองคนที่กตัญญูเช่นนี้

“บุญวาสนาตามมา”  ผู้ปราชญ์อริยะและวีรบุรุษ  ความประพฤติของพวกเขาไม่ว่าวาจาก็ดี  การกระทำก็ดี อารมณ์ของความละมุนละมัยในใจของเขาซาบซึ้งถึงเบื้องบน  พวกเขาก็จะได้รับความมงคล  และบุญวาสนาตามมา


นิทาน ๑ :  ขุนพลกั๊วจื่ออี่ ในสมัยถัง  ผู้ออกศึกตีเมืองฉางอันและลั่วหยาง สองเมืองคืนมา มีความดีความชอบยิ่งใหญ่มากกว่าขุนนางทั้งหลาย  เพราะกายเขาปกป้องประชาชนให้พ้นจากอันตรายมีความสงบนานถึง 30 ปี  ฮ่องเต้จึงสถาปนาเขาเป็นเจ้าเฟินหยางอ๋อง เขามีบุญวาสนาและอายุยืนยาว  ถึงขีดสูงสุดโดยเฉพาะลูกหลาน ก็มีความเจริญจนเป็นที่เกรงขาม  นับว่ามีน้อยมากตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน คือหาผู้ใดเปรียบเทียบได้ยาก

การที่กั๊วจื่ออี่มีบุญวาสนามากมายขนาดนี้  เพราะเขาสร้างคุณให้กับประเทศชาติมากมาย ยิ่งเขาเห็นผู้มีคุณธรรม ถึงสภาวะที่น่าเลื่อมใส  จึงสามารถมีบุญวาสนาตอบสนองมากมาย  มิใช่เป็นโชคลาภจะทำได้เท่านี้


นิทาน ๒ :     ที่หงหยาง เมืองอันฮุย ในสมัยหมิง มีคนหนึ่งชื่อเจิ้นเจียว คืนหนึ่งเขาก็ฝันว่าตนเองได้ขึ้นไปบนสวรรค์ เห็นเทพเจ้าได้เตรียมตำแหน่งให้เขาไว้แล้ว  เทพพูดกับเขาว่า “ที่จริงชะตาชีวิตของเจ้าเป็นคนยากจน  แต่เพราะเจ้าทำความดีถึงสุดกำลัง  เพราะฉะนั้นข้าจึงมีคำสั่งให้เทพบุญกับเทพวาสนา  2  เทพติดตามเจ้าวันข้างหน้าเจ้าจะนั่งในที่เตรียมไว้นี้ได้”  เจิ้นเจียวจึงบรรลุรู้จิตที่ดีของเขายิ่งมั่นคง  เป็นที่เลื่องลือมากขึ้น  ในที่ที่เขาไป  ทรัพย์สินก็ตามเขาไปถึงที่นั่น  ไม่ว่าเขาถึงที่ไหน  บุญวาสนาก้ตามไปถึง  ลูกหลานเขามีมากและก็ร่ำรวย  เสวยบุญวาสนามาก  ในที่สุดเขาก็บำเพ็ญเพียรหลังมรณกรรมเขาได้มรรคผลเป็นจิ้งอัยอริยเจ้า

ผู้ศักดิ์สิทธิ์หลายคนที่เดียวที่มีอายุสั้นก็มี  บางคนอาจเกิดสงสัยว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ทำไมอายุสั้น  เช่นหยวนหยุน  มีอายุสั้นและเสียชีวิตในตรอก  ผู้ศักดิ์สิทธิ์อี้ฉี  ก็อดตายในภูเขาโซ่วหยาง หยวนไท้ก็ยากจน ฮวนพั้นก็ถูกตัดหัว  พระเยซูก็ถูกตอกกางเขนตาย  เป็นต้นแต่ต้องรู้ว่าการบ่มเลี้ยงคุณธรรม  ของพวกเขาล้วนถึงระดับสูงมากแต่ดวงชะตาเขาขาดบุญวาสนา  แต่คุณธรรมของเขาเทียบอาทิตย์จันทร์เ ลยทีเดียว  พวกที่มีบุญวาสนาไม่อาจจะเปรียบได้นะ นี่คือมหาบุรุษที่สำเร็จการุณย์  ชูความสัตย์ซื่อ เพราะฉะนั้นต้องเข้าหลักเหตุผลอันนี้ด้วย

“ชั่วร้ายถอยห่าง”  ในที่ตรงร้ายอยู่ไม่ได้  เหมือนเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ความมืดก็หายไป ท่านหลี่จี๋ผู่กล่าวว่า  “เทพเจ้าพอใจคนตรงคนเราถ้าดำรงความตรงซื่อได้  ก็จะได้รับการคุ้มครองจากเทพเจ้าพวกมารพวกผีไม่สามารถเอาชนะที่มีคุณธรรมได้  แต่ถ้าคุณธรรมของเขาเสื่อมลง  พวกมารผีก็ดีใจเข้าหา”  อันนี้เป็นหลักเหตุผลธรรมดา

นิทาน :  ในสมัยหมิงมีคนหนึ่งชื่อ อิ่งชิง  เป็นนักศึกษา  เขาเข้าไปสอบที่อำเภอตุ้นฮว่า  เขาต้องไปขอยืมพักที่ครอบครัวหนึ่ง ลูกสาวของเจ้าของบ้านจะถูกผีเข้า   คืนที่อิ่งชิงพักอยู่  พูดแล้วก็น่าแปลก  คืนน้นผีก็ไม่มาเข้าร่างลูกสาว  ภายหลังที่อิ่งชิงจากไป  ผีตนนั้นก็เข้ามา  เด็กสาวจึงหถามผีตนนั้นว่า  “เมื่อคืนเจ้าทำไมไม่มา”  ผีตอบว่า

ข้าหลบหลีกอิ่งชิงซิ่วไฉ  เพราะฉะนั้นจึงไม่มา”   เด็กสาวจึงบอกเรื่องนี้กับบิดาเธอ  บิดาจึงรีบไปหาอิ่งชิง  อิ่งชิงก็เขียนหนังสือ 4 ตัวว่า  “อิ่งชิงอยู่นี่”  เรียกให้บิดาเด็กสาวนำไปปิดที่หน้าประตู  จากนั้นมาผีก็ไม่เข้าร่างเด็กสาวอีกเลย  อิ่งชิงเป็นคนตรงและภักดี  ถึงปัจจุบันคนก็ชื่นชมอยู่

ควรรู้เอาไว้ว่า  ปราณที่อยู่ระหว่างฟ้าดินเป็นปราณตรง  ปราณของคนถ้าหากไม่ขี่ขลาดไม่ปอดแล้ว ก็จะรินไหลได้ตรง  ผีมารเห็นเข้าก็จะถอยหลบ  เพราะฉะนั้น  วีรบุรุษจึงมีวิชาบ่มปราณ  การบ่มปราณอยู่ที่การรักษาใจ  ถ้าเป็นผู้ใสสะอาด  มีความตั้งใจสงบนิ่ง เพราะฉะนั้นเหล่าผีมารก็ไม่กล้าปรากฎร่าง  ถ้าหากใจคนมืดมัว  (มีเรื่องชั่วๆอยู่)  ไม่ต้องถามว่าผีจะเข้าหรือไม่เข้า  เพราะใจของตนเองก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นผีแล้ว  ถ้าเหมือนนายอิ่งชิง  ผีมารเห็นเขาเข้าก็ต้องถูกปราณตรงของเขาสยบเอา  เทพกับคนมีหลักเหตุผลเดียวกัน เป็นคนดีที่น่านับถือ  เทพเจ้าก็เพิ่มความคุ้มครอง ถ้ามีคุณธรรมมาก ทั้งผีและเทพต่างก็ชื่นชมเขาแน่!


นิทาน :   ในสมัยหมิง เมืองอี่เติ้ง มีคนแก่แซ่จิน  เขาเปิดร้านรับจำนำของ  สมัยเริ่มต้นของฮ่องเต้เจียจิ่ง  มีการปล้นจี้เต็มไปหมดคนที่มีเงินถูกจี้ปล้นทุกบ้าน  นอกจากบ้านจินที่ไม่ถูกปล้น  ทางการรู้สึกสงสัยว่าบ้านนี้สมรู้ร่วมคิดกับพวกโจรหรือเปล่า ต่อมาพวกโจรถูกทางการจับได้  ทางการจึงสอบสวนพวกโจรว่า  “ทำไมบ้านจินจึงไม่ถูกพวกเธอเข้าปล้น”  โจรตอบว่า  “พวกเราเข้าปล้นบ้านจินหลายครั้งแล้วก็ถูกเทพทหารไล่ออกมา”  ทางการไม่ยอมเชื่อเรื่องนี้  จึงเรียกคนละแวกนั่นมาสอบถาม  พวกเขาล้วนพูดว่า  “ร้านจินไม่ถูกปล้น  เพราะบ้านจินสั่งสมบุญกุศล  โรงรับจำนำแต่ละแห่ง  เวลารับจำนำก็ให้ราคาต่ำๆ  เวลาไปไถ่ถอนก้ต้องเสียเงินมากๆ  ซื้อกลับ  มีแต่ร้านจินเท่านั้นรับเข้าหรือขายออกราคายุติธรรม  เวลารับเข้าก็ให้ราคาสูง  กำหนดเวลาก็นาน  ถ้าเป็นคนแก่ยากจนมาจำนำก็ยังไม่คิดดอกเบี้ย  ถึงหน้าหนาวก็ไม่คิดดอกเบี้ยของเสื้อกันหนาว  พอถึงหน้าร้อนก็ไม่คิดดอกเบี้ยของเสื้อใส่หน้าร้อน  บ้านจินทำแบบนี้มาทุกปี  เบื้องบนจึงคุ้มครองคนดี  จึง่สั่งให้เทพทหารมาปกป้องคุ้มครองบ้านจิน  นี่คือเหตุผลไม่เห็นต้องสงสัยเลย”  นายอำเภอฟังแล้วก็ชมว่าบ้านจินทำความดี  ทั้งยังรายงานถึงราชสำนัก  ราชสำนักมีหนังสือมาชมเชยประกาศบ้านจินเป็นบ้านที่ทำความดี

คุณอู่เถี่ยเจียงกล่าวว่า  “ตอนแรกพูดถึงภัยพิบัติก็ว่าคนทำชั่วตอนพูดถึงบุญวาสนา  ก็ว่าคนให้ความเคารพ เพราะว่าเทพดาวอุบาทว์จะส่งภัยเคราะห์ลงมา  และเทพทหารจะปกป้องคุ้มภัย  เหล่านี้เป็นเรื่องจริง  ในระยะเวลาหนึ่งคนก็ยังไม่รู้เห็นกัน  แต่คนดีคนก็เคารพและรังเกียจคนชั่ว  ก็พอจะยืนยันได้ว่าเป็นลางบอกเหตุได้  ผู้มีใจเรียนธรรม  ควรต้องสำรวจตนเองเสมอๆ  ถ้าคนที่เคารพเรายิ่งมายิ่งมาก  ก็จะรู้ว่าเทพเจ้าได้คุ้มครองเรามากน้อยระดับไหน  ถ้ามีแต่คนไม่ชอบเรายิ่งวันยิ่งมาก  ก็จะได้รู้ว่าดาวอุบาทว์บนศีรษะเรากำลังมองเราด้วยความโกรธ  นี่คือหลักธรรมที่ว่า  ใจคนก็คือใจฟ้า  ไม่ต้องไปตามถามพวกเรา  ถึงสิ่งที่มองไม่เห็นและฟังไม่ได้ยินหรอกนะ !


คัมภีร์ :  งานที่ทำก็สำเร็จ  เป็นเทพเซียนปรารถนา


อธิบาย :  ทำให้การงานธุรกิจที่คนดีทำประสบความสำเร็จแน่นอนและอยุ่ได้ยั่งยืน  ทั้งยังปรารถนาจะสำเร็จเป็นเทพเจ้า  หรือเป็นเซียนก็ได้  มีชื่อจารึกอยู่บนสวรรค์

การงานทุกอย่างในโลกไม่มีหรอกที่ทำไม่สำเร็จ  และคนที่ไปทำสำเร็จได้ก็ต้องเป็นคนที่มีความจริงใจทำดี  เช่นนี้ทั้งคนและงานก็จะเข้ากับใจฟ้าได้  จะมีหรือที่ใจฟ้าจะขัดขวางปณิธานคน  จะมีก็แต่คอยช่วยเหลือคนดีอย่างเงียบๆ  ก็จะไม่มีงานดีที่ทำไม่สำเร็จหรือทำไม่ราบรื่น

ท่านไท่ซั่งเหล่าจวิน  เป็นบรรพจารย์องค์แรกของศาสนาเต๋าเพราะฉะนั้นจึงบรรยายหลักธรรมของเซียนโดยเฉพาะ  ท่านเมิ่งจื่อกล่าวว่า  “มนุษย์ล้วนเป็นเช่นกษัตริย์เหยาซุ่นได้”  พระสังฆปริณายกองค์ที่หกแห่งเซ็น  พุทธศาสนามหายาน  ท่านฮุยเหนิง  (เหว่ยหล่าง) กล่าวว่า  “แต่ใช้ใจนี้  ตรงสุดสำเร็จพุทธ  ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามศาสนาที่พูดถึงราวกับว่าออกมาจากรอยล้อเดียวกัน  อยากเป็นเทพเซียนก็ปรารถนาเอาได้  จะสำเร็จเป็นพุทธก็ได้  แม้แต่จะเป็นกษัตริย์เหยาซุ่นยังเป็นได้  นับประสาอะไรกับชื่อเสียงร่ำรวยอายุยืนชายหญิงก็เป็นได้ แล้วจะมีอะไรอีกที่จะเป็นไม่ได้  เพียงแต่มาดูที่คนแสวงหา  มีความจริงใจไปทำหรือไม่เท่านั้น

พุทธองค์สอนพระสาวกว่า  “พวกเธอภิกขุ  ควรจะขยันมุ่งวิริยะก็จะไม่มีเรื่องอะไรยาก !  สมมุติว่าสายน้ำเล็กๆ  ไหลไม่หยุด  ผ่านเวลาอันยาวนานก็จะสามารถผ่านหินที่แข็งได้  หากใจของผู้ปฏิบัติขี้เกียจหยุดนิ่งบ่อยๆ  เหมือนการปั่นไม้เอาไฟยังไม่ทันปั่นจนไม้ร้อนก็หยุดไปพัก  คิดอยากได้ไฟใช้คงเป็นไปไม่ได้ !”

ในสมัยหมิง  ท่านธรรมาจารย์เหลียนฉือ  กล่าวว่า “วิทยาการแต่ละแขนงบนโลกนี้  ตอนเริ่มต้นเรียน  แรกดูเหมือนยากมาก  เหมือนกับว่าไม่สามารถเรียนสำเร็จได้  ด้วยเหตุนี้จึงหยุดเสียกลางคัน  ถ้าเช่นนั้นก็จะไม่มีวันเรียนได้สำเร็จ  เพราะฉะนั้นตอนเริ่มต้นที่สำคัญต้องมีใจแน่วแน่ไม่สงสัย  ถึงแม้จะตัดสินใจไม่เคลือบแคลงใจ  แต่ถ้าอืดอาดอุ้ยอ้าย  ไม่จริงใจเรียนก็เรียนไม่สำเร็จเหมือนกัน  ขั้นต่อไปต้อบมีความวิริยะอุตส่าห์  ถึงแม้จะมีวิริยะแต่พอมีความสำเร็จเพียงเล็กๆ น้อยๆ  ก็รู้สึกพออิ่มแล้ว  หรือเป็นเพราเวลาเนิ่นนานเกินไปจนเหนื่อยอ่อน หรือพบกับความราบรื่นเลยหลงฟั่นเฟือน หรือพบกับอุปสรรคจนร่วงหล่น  อย่างนี้ก็เรียนไม่สำเร็จ  ขั้นต่อไป  ที่สำคัญต้องมีความบริสุทธิ์แรงกล้าไม่ถดถอย  อย่างนี้จึงเรียกว่าใจของวีรบุรุษที่แท้จริง คนต้องมีใจแบบนี้จะมีเรื่องอะไรที่ทำไม่สำเร็จ  พวกเราต้องพากเพียรด้วยตนเองนะ !


นิทาน ๑ :  หลี่ตวนหยวน  ในสมัยซ่ง  เป็นระดับหัวหน้าตำรวจได้ถามท่านธรรมาจารย์เซ็นต๋ากวนว่า  “บรรดาพุทธเจ้าท่ามกลางความไม่มีพูดว่ามี  ก็เหมือนคนเป็นโรคตาที่เห็นดอกไม้กลางอากาศตวนหยวนเอ๋ยในความมีแสวงหาความไม่มี  ก็เหมือนเอามือไปคลำหาดวงจันทร์ในน้ำ  นี่ก็เหมือนเห็นคุกตะรางอยู่ตรงหน้า  แต่กลับไม่รู้จักหลบหลีก  พอข้างนอกได้ยินสวรรค์ก็มีสภาวะคิดจะมีชีวิตที่นั่นน่าหัวเราะ  แต่กลับไม่รู้ว่าดีใจหรือหวาดกลัว  ทั้งหมดล้วนอยู่ที่ใจของเราเอง  สวรรค์กับนรกก็เป็นสภาวะของใจทีดีชั่ว ท่านตวนหยวน !  ขอเพียงให้ท่านสามารถเข้าใจตนเอง  ก็จะไม่หลงและกังวลเลย”

นิทาน ๒ :  ตามหลักฐานในคัมภีร์ของชาวเต๋า  ที่บันทึกเรื่องเซียนก็มีจำนวนมากตั้ง  ๙๙,๙๙0 หมื่น  และก็ได้สั่งสมบุญกุศลในขณะที่อยู่ในโลก  อาทิเช่น  ท่านเหอฮีจื่อ  เพราะท่านได้เขียนบทอธิบายพระสูตรวัชรปรัชญาปรมิตาสูตร  ช่วยให้จิตใจชาวโลกใสสะอาดขึ้น  ภายหลังมรณภาพแล้ว  ก็ได้เป็นเทพที่ตรวจสอบความดีที่คุกแดนตะวันตก  ถึงแม้จะเป็นในคุกตะราง  แต่ก็เป็นการรับฉุดช่วยคนนะ  นี่ก็คือหลักะรรมที่ทำดีก็ปรารถนาเป็นเทพเซียนได้  ตั้งแต่โบราณมาถึงปัจจุบันที่สำเร็จเป็นก็มีนับกว่าแสนคนแล้ว  เพราะฉะนั้นจึงว่า  “อย่าว่าเทพเซียนไม่มีที่เรียน  โบราณมาเทพเซียนสำเร็จมากเท่าไร”  ปัจจุบันผู้คนบำเพ็ญเพียรขยาดความจริงใจ  ตนเองบำเพ็ญไม่สำเร็จก็จะพูดว่า  “โลกนี้ไม่มีเทพเซียน”  นี่ก็เหมือนการเรียนอย่างท่านขงจื่อเมิ่งจื่อ  ไม่มีความสามารถปฏิบัติได้ตามคำพูดของท่านขงจื่อเมิ่งจื่อก็จะพูดว่าในโลกนี้ไม่มีปราชญ์อริยะ  เป็นสภาพเหมือนกัน  อย่างนี้ไม่ถูกต้องนะ !


คัมภีร์ :   อยากเป็นเทพเซียนฟ้า  ต้องทำความดีหนึ่งพันสามร้อยกุศล  อยากเป็นเทพเซียนดินต้องทำความดีสามร้อยกุศล


อธิบาย :  คิดอยากจะเป็นเทพเซียนบนฟ้า  ก็ควรทำความดีหนึ่งพันสามร้อยกุศล  ทำความดีวันละหนึ่งกุศล  ก็ใช้เวลาสักสี่ปีก็สามารถสำเร็จได้  หากคิดจะเป็นเพียงแค่เซียนดิน  ก็ให้ทำความดีสามร้อยกุศล  วันหนึ่งทำหนึ่งกุศล  เพียงหนึ่งปีก็สำเร็จแล้ว


คัมภีร์ตอนนี้เป็นบทสรุปจากเริ่มต้นมา  พูดถึงวิธีการทำความดีเป็นรากฐานของการสำเร็จเป็นเทพเซียน  ตรงพูดถึงจำนวนหนึ่งพันบ้างสามร้อยบ้าง  เป็นการกำหนดปริมาณการทำความดี เพียงต้องจริงใจไปทำดีก็กำหนดแน่ว่าสำเร็จ และก็ไม่คิดท้อถอย ความแตกต่างระหว่างเทพเซียนฟ้ากับดิน ก็อยู่ที่คนทำดีมากน้อย ในศุรางคมสูนรว่า “เซียนมี 10 ชนิด  ชนิดที่หนึ่ง  เซียนเดินดิน   ชนิดที่ 2  เซียนเดินเหิน  ชนิดที่ 3  เซียนท่องเที่ยว  ชนิดที่ 4  เซียนเหินอากาศ  ชนิดที่ 5  เซียนเหินฟ้า  ชนิดที่ 6  เซียนเหินทะลุ   ชนิดที่ 7  เซียนเหินธรรม  ชนิดที่ 8  เซียนเหินส่อง   ชนิดที่ 9  เซียนเหินชำนาญ   ชนิดที่ 10  เซียนเหินเยี่ยม  อายุขัยแม้จะยืนยาวได้ถึงร้อยล้านปีก็ตาม ก็ยังอยู่ในหกทางไป  เพราะฉะนั้นภายหลังสำเร็จเทพเซียนแล้ว  ก็ยังต้องให้วิริยะขึ่นอีกก้าวหนึ่ง  จึงจะไม่ร่วงหล่น  คืนให้เลื่อนพ้นสมมภพหกทางไป  สิ้นสุดวัฎฎะ ก็จะเป็นอย่างเช่นวิสุทธิเทพ  อย่างเซียนหลี่ตงปิง  ในวัชรปรัชญาปรามิตตาสูตรว่า  “ควรไม่มีที่ยึดอยู่แล้วบังเกิดใจนั้น”  ซึ่งก็เป็นการตรัสรู้ ต่อมาก็ได้พบกับธรรมาจารย์เซ็นหวงหลง มายืนยันเขา  อริยเจ้าซุนซือเหมาก็มักจะถามพุทธธรรมกับอาจารย์เต้าซวนหลี่  ในสมัยถังเป็นประจำต่อมาก็ไปที่เสฉวน  ได้ฟังธรรมพระสูตรบทอนันต์รัตนเจดีย์จากภิกษุอู๋หมิง  จึงได้รับการยืนยันสำเร็จเป็นอริยเจ้า ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นการก้าวขึ้นอีกก้าวหนึ่ง  เป็นวิสุทธิเทพพ้นสามภพ


นิทาน : ในสมัยฮั่น ท่านเซียนเจ็งหลีได้ถ่ายทอดวิชาฝึกโอสถ (ตัน) แก่วิสุทธิเทพหลี่ตงปิง  เอาตันจุดบนเหล็กกลายเป็นทองคำ  สามารถนำมาฉุดช่วยคนจน  หลี่ตงปิงถามเจ็งหลี้ว่า  “กลายเป็นทอง ที่สุดจะกลายกลับมาเป็นเหล็กไหม”  เจ็งหลี้พูดว่า “500 ปี  ให้หลังก็จะกลับเป็นเหล็กดังเดิม”  หลี่ตงปิงพูดว่า  “เป็นแบบนี้ก็จะทำร้ายคนใน 500 ปีหลัง  ฉันไม่ยอมทำเรื่องอย่างนี้”  การที่ท่านเจ็งหลี้สอนหลี่ตงปิงเสเหล็กเป็นทอง  ก็เพียงต้องการทดสอบใจของเขาเท่านั้น  เมื่อรู้ว่าหลี่ตงปิงมีใจที่ดีงาม  จึงพูดกับเขาว่า  “บำเพ็ญเป็นเซียนต้องสั่งสมบุญกุศล 3 พันกุศล  เมื่อฟังวาจาของเจ้าแล้ว  บุญกุศล 3 พันได้ทำครบสมบูรณ์แล้วนี่”

เชิญติดตามต่อในคัมภีร์กรรม เล่ม 2