Website แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ให้บริการฤกษ์ยามชั้นสูงของโหราศาสตร์ภารตะจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ และได้ผลตอบรับดีสูงสุดเป็นปีที่ 15 แล้ว WebSite ของเราให้การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากยุโรป "SiteGuarding" บริการดูฮวงจุ้ย แก้ฮวงจุ้ย เสริมฮวงจุ้ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี***

บทที่สอง

ตักเตือน

 


คัมภีร์ : ด้วยฟ้าดินมีเทพเจ้าปกครอง อิงการกระทำของมนุษย์หนักเบาเพื่อลงโทษตัดขัย

อธิบาย : ตลอดชีวิตของคน ไม่ว่าจะเป็นกลางคืนหรือกลางวันทุกๆ นาทีข้างบนหรือข้างล่าง รอบๆ ทั้งสี่ด้าน ล้วนมีผู้ควบคุม คือมีเทพเจ้าควบคุมตรวจตราความชั่วของมนุษย์และก็อิงตามความชั่วว่ามีหนักเบาแค่ไหน เพื่อลงโทษตัดทอนอายุขัยของมนุษย์ (ถ้ามนุษย์มีอายถึงหนึ่งร้อยวัน เรียกว่า หนึ่งซ้วน ความผิดเบาก็ตัดขัยน้อยความผิดหนักก็ตัดขัยมาก)

ฟ้ามีตรีรัชภพห้าพระเจ้า มีเทพเจ้าอีกนับร้อยๆ ดินมีห้ามหาขุนเขาสี่ มหานทีและนครชุมชนก็มีเทพที่มีหน้าที่จดความคิดดีคิดชั่วของมนุษย์ เจ้าผู้ทำหน้าที่ต่างๆ เหล่านี้เรียกว่าเทพเจ้าปกครองอันที่จริงแล้วเบื้องบนมีจิตเมตตาอารีย์ คิดอยากให้ชาวโลกรู้จักสัมผัสใจตนเอง ทำดีละชั่ว ด้วยเหตุนี้จึงมีเทพเจ้าปกครอง คอยตรวจสอบคนที่ทำชั่วกับวัดระดับหนักเบาของความชั่ว แล้วมาตัดอายุขัยของคนร้อยวัน เพราะฉะนั้นที่ว่า “ชาวโลกแอบกระซิบส่วนตัวเบื้องบนได้ยินดังเหมือนสายฟ้า  กากคนทำสิ่งที่เลวร้ายในที่ลับตา ก็หนีไม่พ้นตาอันแหลมคมดุจไฟฟ้าของเทพเจ้า” ในคัมภีร์ซีจิงก็มีกล่าวไว้ “พระเจ้าตรวจสอบทั้งกลางวันกลางคืนถึงการกระทำคำพูดความคิดของมนุษย์”  นี่แหละคือเหตุผลที่ในใจเราสัมผัสรู้ เทพเจ้าแห่งฟ้าดินก็ตรวจสอบเราเข้มงวดมากกว่าเราสัมผัสรู้เสียอีก  และนี่คือหลักธรรมที่มนุษย์กับฟ้ารวมกันเป็นหนึ่งเดียว

ในอวตังกสูตร กล่าวว่า ภายหลังที่แต่ละคนเกิดมา ก็จะมีเทพสององค์ติดตาม องค์หนึ่งมีชื่อว่าร่วมชีวิต อีกองค์หนึ่งชื่อว่า ร่วมชื่อเทพทั้งสองนี้จะติดตามเราไปตลอดและพบเห็นได้บ่อยๆ แต่คนที่ถูกเทพติดตามก็จะมองไม่เห็นองค์เทพ “เทพทั้งสองก็คือเทพกุมารฝ่ายดีกับฝ่ายชั่ว ตลอดเวลา 24 ช.ม. จะคอยบันทึกการกระทำดีชั่วของเรารวมทั้งความคิดในใจ  เพราะฉะนั้น พอคนเคลื่อนไหวความคิดพูดคุยพบปะผู้คนต้องให้คิดถึงเทพทั้งสอง ที่คอยติดตามบันทึก อย่าให้ความคิดชั่วต้องคอยถูกบันทึกติดต่อกันไปไม่ขาดนะ ! ถ้าบังเอิญเจ้าความคิดชั่วเกิดขึ้นก็ให้ระงับเสีย แล้วพามันหวนกลับมา เพราะฉะนั้น การกดข่มตนเอง ต้องกดข่มจากตรงที่กดข่มยากเรื่อยไปจนกว่าความคิดนั้นจะดับไป  ถ้าหากฝึกฝนได้เช่นนี้เรื่อยไป  วิบากกรรมมากมายของเราก็สามารถที่ทำให้หมดจดบริสุทธิ์ดุจอวกาศได้ในขณะหนึ่ง ถ้าทำได้เช่นนี้ เจ้ามงคล ภัยเคราะห์ บุญวาสนา อายุสั้นยาวก็สามารถควบคุมให้อยู่ในกำมือของเราเอง เทพเจ้าฟ้าดินก็ไม่อาจทำอะไรได้ ยิ่งนับประสาอะไรกับเทพเจ้าปกครองที่ค่อยตัดทอนอายุขัยเล่า

นิทาน ๑ :  ในสมัยราชวงศ์หมิง  เมื่อไท่หยวนซานซี นายหวังย้งอวี่เขาเป็นผู้มีธรรมสูงต่อผู้อื่น เขาบูชาพะเจ้าเวินเชียงอย่างนอบน้อมเขากับเพื่อนอีกหลายคนตั้งชมรมขึ้น พอถึงวันอริยสมภพของพระเจ้าเหวินเชียง พวกเขาก็จะผลัดกันรับหน้าที่ตกแต่งปะรำพิธีบนตำหนักยอดเขาเพื่อขอพร ในชมรมมีคนหนึ่งชื่อ โถวหลิน เป็นผู้มีความกตัญญูยิ่งมีหลายคนทั้งใกล้ไกลพากันมาศึกษากับเขา ไหว้เขาเป็นอาจารย์ยังมีอีกคนหนึ่งชื่อ ฉงโจว หน้าตาผึ่งผาย ทะมัดทะแมง รูปร่างสูงใหญ่ศิลปการพูดการเขียนเป็นหนึ่ง ทุกคนต่างชื่นชมนิยมบุคคลทั้งสองมากในปีฮ่องเต้เจิ้นถงครองราช นายหวังย้งอวี่เตรียมตัวขึ้นเขาไปยังตำหนักพระเจ้าเหวินเชียงเช้าเป็นพิเศษ เพื่อจัดงานอริยสมภพ และเตรียมค้างคื่นบนเขาด้วย  คืนนั้นเขาก็ฝัน ฝันว่าพรเจ้าเหวินเชียงกำลังเสด็จขึ้นแท่นประทับ พวกศาลเจ้าเมืองต่างๆ พากันมาเข้าเฝ้าเจ้าเมืองต่างรายงานบันทึกของประชาชนของตน มีเทพองค์หนึ่งสวมชุดข้าราชการสีแดง ในมือถือสมุดเล่มใหญ่ยื่นถวายให้พระเจ้าเหวินเชียงลงพระนาม หวังย่งอวี่จึงแอบถามเทพองค์นั้นว่า “มีรายชื่อสอบบรรจุข้าราชการเมืองซานซีหรือไม่ มีชื่อของหวังย้งอวี่ โถวหลินแลฉงโจว 3 คนสอบติดไหม” เทพตอบว่า “ไม่มี” สักครู่หนึ่ง พอบรรดาเทพศาลเจ้าเมืองกลับหมดแล้ว เทพเสื้อแดงก็ถวายรายชื่อขึ้นไป พระองค์ก็ค่อยๆ ตรวจรายชื่อและวงแต่ละชื่อ บางครั้งพระองค์ก็รีรออยู่ไม่ลงสักที เทพเสื้อแดงจึงประกาศต่อหน้าเทพศาลเจ้าเมืองแต่ละเมืองว่า ให้รีบไปตรวจสอบบุญกุศลของบุตรแต่ละครอบครัวเอารายชื่อพวกเขารายงานขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนชื่อที่พระองค์ไม่ทรงอนุมัติ” ขณะนั้นนายหวังย้งอวี่ที่หมอบอยู่ข้างเสาใต้พระแท่น ก็ได้ยินเสียงขานเรียกจากด้านในของพระแท่น ให้หวังย่งอวี่เข้าเฝ้าพระเจ้าเหวิ่นเชียง หวังย้งอวี่จึงเข้าไปคุกเข่าบนเบาะใต้พระแท่น พระองค์ตรัสว่า “เรื่องการสอบ เป็นความลับของสวรรค์ จะแพร่งพรายไม่ได้ เพราะเจ้าเคารพบูชาข้ามาตลอด 10 ปี ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นจึงเรียกเจ้ามาชำระความ ปู่ของเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ หากินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน และก็ไม่เคยรังแกใคร ตอนนั้นก็ได้บันทึกให้เจ้าสอบได้เป็นที่หนึ่งของเมือง เพื่อเป็นการประจักษ์ถึงคุณธรรมที่สืบทอดกันมาของบ้านเจ้า และเป็นเพราะเมื่อเจ้าพบปะพระเจ้าก็ก้มหัว แต่ว่าแต่ละครั้งที่เจ้าภาวนา เจ้าก็ขอให้ตนเองประสบความสำเร็จ และขอให้เมียเจ้าหายจากเจ็บป่วย ขอให้สามีภรรยามีอายุยืนยาวจนแก่เฒ่าแต่กับมารดาของเจ้าที่ยังอยู่ เจ้าไม่เคยภาวนาขอห้พระคุ้มครองมารดาเลย ด้วยเหตุนี้ จึงลดขั้นบุญวาสนาลงไป 2 ขั้น เจ้าจะสอบได้อันดับที่ 43 เจ้าต้องแก้ไขพฤติกรรมของเจ้า  จงอย่าได้ละเมิดใจฟ้าอีก” หวังย้งอวี่ฟังคำวินิจฉัยของพระองค์แล้ว ก็ได้แต่ก้มกราบขอประทานอภัย พระองค์ตรัสต่าอว่า “กับคนในชุมชนของเจ้านายโจวจี๋เป็นผู้สอบไล่ได้ที่หนีงของชุมชนเจ้า”  ขณะนั้นในสมาชิกชมรม นายโจวจี๊เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ที่สุด ความรู้วิชาก็ด้อยกว่าผู้อื่น นายหวังยังอวี่ฟังแล้วรู้สึกตกใจหวาดหวั่น ดังนนั้นจึงก้มกราบทูลถามพระองค์ถึงโจวจี๋เป็นคนเรียนหนังสือ ตลอดมาก็ไม่เคยมีคดีความ และก็ไม่เคยล่วงประเวณี ตระกูลโจว 3 ชั่วคนไม่เคยพูดถึงความชั่วของผู้อื่นหรือเปิดเผยความเลวของผู้อื่นเลย โดยเฉพาะปู่ทวดของโจวจี๋ เคยกล่อมเกลาคนไปไม่น้อย เพราะฉะนั้น ตระกูลโจวหลายชั่วคนช่วยกันสั่งสมบุญกุศลมาอย่างเงียบๆ เป็นเวลานานถึง 60 ปีแล้ว ถือเป็นกุศลลับสูงสุด คนอื่นไม่มีใครรู้ พระเจ้าจึงพอพระทัยเป็นพิเสษ จึงกำหนดให้ตระกูลโจมีความเจริญถึง 3 ชั่วคน ตอนนี้โจวจี๋ก็สอบได้ที่หนึ่ง นืคือจุดเริ่มต้นบุญวาสนาของตระกูลโจว” นายหวังย้งอวี่ทูลถามพระองค์ต่อไป “เพื่อนในชมรม นายโถวหลิน นายฉงโจว ไม่ทราบว่าเขาทั้งสองสอบได้ไหม” พระองค์จึงตรวจสมุดของเมื่องไท่หยวนดูพระพักตร์ไม่สู้พอพระทัย ตรัสว่า “โถวหลินเดิมทีต้องสอบได้ แต่เขาดูแลบิดามารดา มีดทษกลับกรอก และมักจะนินทาผู้อื่นบ่อยๆ ไม่มีเหตุผลฟุ้งเฟ้อว่าตนเป็นบัณฑิต เพราะฉะนั้น จีงลบชื่อออก ทำให้ชีวิตเขาต้องยากจนลง” หวังย้งอวี่กราบทูลถามพระองค์ว่า “อะไรคือกลับกลอก”  พระองค์ตรัสว่า “โถวหลินประพฤติต่อบิดามารดาของเขา  ถึงแม้คำพูดและกิริยา แสดงถึงความกตัญญู แต่ภายในใจของเขากลับไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ฝืนปั้นสีหน้าภายนอกดูเหมือนเชื่อฟังบิดามารดาแต่จิตใจกลับแย่ลงไปทุกวันๆ การแสร้งทำเป็นกตัญญู เป็นการข่มเหงตนและผู้อื่น คือเห็นบิดามารดาเหมือนคนร่วมโลก ต้องรู้ว่าการใช้วาจาการกระทำมาหลอกลวงโลกเพื่อให้ได้ชื่อนั้น เป็นการจุดความโกรธเทพเจ้าอย่างยิ่ง  เพราะฉะนั้นจึงลงโทษเขา

สำหรับนายฉงโจว  ที่จริงฟ้าให้เขาเป็นวีรชน อายุ 26 ควรสอบได้จิ้นสือ (ราชบัณฑิตอันดับสองรองจากจอหงวน) อายุ 30 ปี ก็จะโดดเด่น ควรเลื่อนยศถึงอันดับกลาง พออายุ 45 จะได้ถึงอันดับราชมนตรี ปกครองการเกษตร พอ 54 ก็ยังรักษาอันดับไว้ได้จนเกษียณ อายุถึง 69 ปี สิ้นขัย แต่เพราะเขาเข้าเรียนอายุได้ 17 ปี ก็ทรนง วาจาเสียดแทงคน พูดจาสองง่ามสองคม ถากถางผู้อื่น ยมบาลได้บันทกความผิดทางวาจามากมายถึง 2,470 กว่าคดีแล้ว พระเจ้าโกรธจัด  จึงกำหนดให้เขาอยู่สัญชาติมืด ลบบุญวาสนาของเขา  ถ้าหากเขายังไม่รู้สำนึกผิดเปลี่ยนแปลงแก้ไข เมื่อไรความผิดเขาถึง 3 พันเรื่อง ก็ตัดอายุขัยสิ้น  ทั้งยังจะลงโทษให้ลูกหลานเขาเป็นขอทานเพราะวจีกรรมทำผิดทำลายปราการละมุนละมัยของฟ้าดิน  ซึ่งกระทบขัดแย้งกับเทพเจ้า เพราะฉะนั้น วจีกรรมนี้ก็คือ  โทษบาปเทียบเท่ากับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และล่วงประเวณีเลยทีเดียว พวกเจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ” เวลาผ่านนานมาก พระองค์จึงสอนต่อว่า “การล่วงประเวณี ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต วจีกรรม แม้ล่วงละเมิดเพียงเล็กน้อย ก็มีผลตอบสนอง คงไม่พูดอีกแล้ว แต่การล่วงประเวณีกับฆ่าสัตว์กรรมชั่วทั้งสอง คนที่รักตัวเอง ก็ต้องรู้จักหักห้ามไม่ล่วงละเมิด แม้แต่พูดเยาะเย้ย  พูดจาเสียดแทงผู้อื่น  การซ่อนมีดในรอยยิ้ม  เหมือนโจรทำลายใจเขา ถ้าทำจนเป็นนิสัย ก็จะรู้ตัวตรวจสอบเองได้ลำบาก ในที่สุดทั้งคำพูดหน้าตาและจิตใจก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นคนหยิ่งยโสความชั่วทางวจีกรรมก็จะถูกเทพเจ้าบันทึกไว้ เพราะฉะนั้นภัยเคราะห์เรื่องร้ายก็ตามมา ที่จริงพื้นดวงชะตาควรได้เสวยสุข เพียงไม่นานก็กลายเป็นคนชั่วยากจน น่าเสียดายอย่างยิ่ง และก็เป็นเรื่องน่ากลัวเจ้าต้องไปตักเตือนคนให้มาก เอาสิ่งเหล่านี้เป็นศีล อย่าให้ข้าต้องยุ่งยากตอนจะเซ็นซื่อ ต้องรีรอเสียการ” หวังย้งอวี่กราบลงแล้วถอยออก ขณะนั้นเสียงระฆังในตำหนักดังขึ้น  หวังย้งอวี่ตกใจตื่น ไก่ด้านนอกขันถึง 3 ครั้ง หวังย้งอวี่ก็ไปถึงตำหนักแล้วก้มกราบขอบคุณพระเจ้าเหวินเซียง จากนั้นก็รีบบันทึกความฝัน รอจตถึงฤดูใบไม้ร่วงก็ประกาศผลสอบ ปรากฎว่าโจวจี๋สอบได้ที่ 1 ของเมืองซานซีหวังย้งอวี่จึงเอาบันทึกฝันนี้เปิดเผยแก่ชาวบ้าน  เพื่อใช้ตักเตือนชาวโลก

นิทาน ๒ : ธรรมาจารย์เซ็นกวงเซี้ยวอัน ในสมัยราชวงศ์ซ้ง  ขณะเข้าสมาธิ ได้เห็นภิกษุ 2 รูปคุยกัน ตอนแรกก็มีเทพเจ้าคอยดูแลอยู่ข้างๆ ทั้งยังฟังพวกเขาคุยกัน พอนานไป เทพเจ้าก็จากไป ผ่านไปไม่นาน ก็มีผีร้ายถ่มน้ำลายด่าว่าพวกเขา  ทั้งยังเอาไม้กวาดไล่กวาดรอยเท้าของพวกเขา  ท้งนี้เพราะตอนเริ่มต้นภิกษุนั้นคุยธรรมกันต่อมาก็พูดถึงเรื่องครอบครัวตอนหลังก็พูดถึงชื่อเสียงและผลประโยชน์ควรรู้ว่าผู้ออกบใชมาคุยเรื่องทางโลก  ผีเจ้าก็รำคาญ ไม่พอใจ คนปัจจะบันชาวโลกไม่เพียงสร้างแค่กาย วจี ใจ กรรมสามเท่านั้น  ยังทำเลยเถิดไปอีก  พวกเขาจะต้องถูกผีเจ้าลงโทษ แล้วจะเป่นเช่นไร  คิดแล้วน่าสยดสยองยิ่งนัก




คัมภีร์ :  ตัดขัยให้ยากจน  ประสบทุกข์ลำบากบ่อย


อธิบาย :  อายุขัยของคน  เพราะละเมิดความผิดจึงถูกตัดลดอายุทั้งยังต้องถูกลงโทษให้ชีวิตยากจน  ครอบครัวแตกสลาย  แล้วยังจะประสบกับทุกข์ภัยพิบัติจนลำบาก

คนที่ถูกตัดอายุขัยจนตาย ก็เพราะการกระทำที่รังแกหลอกลวงผู้อื่น เทพเจ้าตรวจพบก็จะตัดทอนอายุขัย  จนครอบครัวยากจนแตกสลาย ความทุกข์ก็ติดตามมา เรื่องบุญวาสนาหรือภัยพิบัติเป็นหลักธรรมที่สร้างสรรค์ หากคนคิดอยากได้โชคลาภ  หลบพ้นภัยเคราะห์ ก็ต้องแก้ไขทำความดี ถ้าอย่างนั้นความสำคัญของมัน  ควรอยู่ที่การรักษาใจตรวจตรากรรมสามของตน  ปล่อยปละละเลยบตามใจไม่ได้  มิฉะนั้นก็จะตกสู่ตาข่ายกรรม  จึงควรช่วยเหลือกัน  ตักเตือนให้อยู่ในทำนองคลองธรรม เช่น ปากกับใจต้องช่วยกันตักเตือนใจต้องบอกกับปากว่า “เจ้าปากเอ๋ย !  เธอต้องพูดแต่เรื่องที่ดีๆ  พูดเพราะๆ อย่าพูดใสสิ่งที่ไม่ควรพูด”  ใจก็ต้องบอกกับกายว่า “กายเอ๋ย ! เธอต้องวิริยะอุตสาหะปฏิบัติบำเพ็ญอย่าได้ขี้เกียจนะ.” ถึงแม้จะเป็นวันหนึ่งเวลาหนึ่งขณะหนึ่งแม้จะเป็นแค่วินาทีเดียว ก็ต้องหักห้ามกดข่มใจตนเอง ตนเองต้องระมัดระวังปากของตนเอง ตนเองต้องรักษากายตนเองให้ดี ไม่ให้ขาดตอน เรื่อยไปนานๆ เราก็จะไม่ถูกอิทธิพลภาย่นอกกระทบไปเองใจก็จะไม่เคลื่อนไหว  จึงตอนนี้ก็จะใสสงบไม่มีภาวะที่คาดหวัง  หรืออยากได้  ทั้งกายใจก็จะเป็นกุศล  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วมีหรือจะถูกเทพเจ้าตัดทอนอายุขัย ตลอดจนตกสู่ความยากจรนบ้านแตกสลาย


นิทาน ๑ : นายอำเภอเมืองฟ่งหู่  ชื่อเฉีย่นหยังหวี่ เป็นคนโหดเหี้ยมในตอนหนุ่มก็ได้รับตำแหน่งนี้  หน้าที่การงานก็ทำไม่ได้ดี ในที่สุดก็ต้องลาออก บั้นปลายชีวิตตกทุกข์ได้ยาก  ทั้งลูกชายลูกสาวก็ตายไปก่อนชีวิตตกอยู่ในฐานะลำบาก  ดังนั้นเขาจึงไปอ้อนวอนเทพเจ้า เขาก็ได้ฝันเห็นเทพเจ้าบอกกับเขาว่า “เฉียนหยังหวี่ เธอทำกรรมชั่วไว้มากมาถึงบัดนี้ หลังจากตัดทอนอายุขัยแล้ว  ตอนนี้ขัยหมดสิ้นแล้ว  ชีวิตก็ยากจน บ้านแตกสลายชีวิตสิ้นแล้ว มาอ้อนวอนข้า  ช่างโง่เง่าที่สุด !”


คัมภีร์ :  ผู้คนก็รังเกียจ


อธิบาย : ทุกคนต่างก็รังเกียจคนที่ทำความชั่ว  ในคัมภีร์อี้ชวีจิงกล่าวว่า “หากมนุษย์ไม่ทำกรรมดี เบื้องบนก็จะตัดเทพของเขาดึงสังขารของเขา  ให้วิญญาณของเขาผันผวน  ถูกคนรังเกียจทอดทิ้งเหยียดหยาม”  อย่างตอนนี้ โกรธแค้นคนอื่นรังแกคนของเรา เราจะรู้ได้อย่างไร เป็นเพราะเบื้องบนได้ตัดดึงเทพวิญญาณของเขา ทำให้เขาไปถึงที่ไหนก็ถูกเขารังเกียจ ตอนนี้เราโชคดีที่รู้ความจริงเรื่องนี้ก็ควรรีบชำระใจแก้ไขความชั่วไปสู่ความดี ใจของฟ้าเมตตาอภัยให้เช่นนี้ คือจะไม่กล่าวโทษผู้สำนึกผิดและแก้ไขเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น เมื่อก่อนที่ทำผิดมาแล้ว ก็สามารถที่จะแก้ไขฉุดช่วยได้ จากนี้ไปก็แก้ไขทำความดี อนาคตก็ยั้งสดใสได้ เพราะฉะน้น ไม่ว่าจะรู้ตัวตอนยังมีชีวิตหรือรู้ตัวตอนทุกข์ยาก ขเพียงให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขมุ่งสู่ความดี ความสำเร็จก็ได้เหมือนกัน  จงอย่าหุนหันพลันแล่นแล้วละเลยไม่สนใจ

คนที่ทำเรื่องชั่วๆ  ผู้คนทำไมถึงรังเกียจเดียดฉันท์เล่า  ทั้งนี้เพราะใจธรรมมีอยู่ในใจของคน และจิตอันดีงามเดิมเป็นจิตที่ดีจิตสำนึกดีทุกคนมีอยู่พร้อม จึงอยากให้ทุกคนผลักดันความคิดนี้ เมื่อพบความดีก็กลัวว่าจะร่วงหล่นไปอยู่ด้านหลังคนอื่น พอพบความไม่ดีก็เหมือนกับเอามือจุ่มลงไปในเดือดที่น่ากลัว เราต้องให้กำลังใจตนเองต้องบำเพ็ญไปจนถึงสภาวะที่ไม่มีทั้งความดีความชั่ว ถ้ามัวแต่รังเกียจความชั่วของผู้อื่น แต่ไม่ขจัดความชั่วของตน อย่างนี้จะหลบหลีกพ้นที่ผู้อื่นรังเกียจความชั่วของตนได้อย่างไร

นิทาน ๑ : ในสมัยราชวงศ์ถัง มีตุลาการที่รับผิดชอบตัดสินคดีชื่อ ไล้จุ่นเฉิน ฉ้อราษฎร์ตัดสินคดี ทำให้คนไม่ผิดต้องตายไปมากต่อมาถูกราชสำนักจับได้ เขาจึงถูกนำตัวแห่ไปตามตลาดและถูกประหารชีวิตในที่สาธารณะ หลังจากถูกตัดหัว  คนที่โกรธแค้นจำนวนมาก ต่างวิ่งกรูกันเข้าไปทึ้งดึงศพ บ้างก็ควักลูกตา บ้างก็ฉีกเนื้อกิน บ้างก็ดึงแขนขาทึ้งจนศพไม่เหลืออะไรเลย ดูซิผู้คนรังเกียจเขาขนาดไหน


นิทาน ๒ : ในสมัยราชวงศ์ซ้ง ข้าราชการผู้ใหญ่สองคน  คนหนึ่งชื่อเติ้งเหวย อีกคนชื่อ กวนไหลกง ประชาชนในสมัยนั้น พอพูดถึงกวนไหลกง  ทุกคนก็ว่าเขาเป็นตงฉิน (ข้าราชการซื่อสัตย์) พอพูดถึงเติ้งเหว่ย คนก็ตราหน้าว่าเป็นกังฉิน (โกงกิน)  เมื่อประชาชนได้รับฟังข่าวดี พวกเขาก็ยกให้เป็นความดีของกวนไหลกง  อันที่จริงบางเรื่องก็ไม่ใช่เป็นผลงานของกวนไหลกง  แต่พอประชาชนได้รับฟังเรื่องไม่ดีพวกเขาก็เหมาเอาว่าเป็นเรื่องของเติ้งเหว่ย  ซึ่งบางทีเติ้งเหย่ยก็ไม่ได้ทำนี่แหละความไม่ดีที่คนเขาดูมาครั้งหนึ่ง  ก็มักเป็นที่รังเกียจตลอดไป


นิทาน ๓ : ในสมัยาชวงศ์ซ้ง  ราชอำมาตย์ฉินขุ้ย  เป็นทรราชขายชาติ  ทำลายผู้จงรักภักดีต่อชาติ  ประวัติศาสตร์จารึกไว้มานานนับพันไป  ทุกวันนี้ประชาชนก็ยังรังเกียจฉินขุ้ย เขาปลอมราชโองการประหารเหย้เฟย  ขุนพลผู้ปกป้องแผ่นดิน ที่ทะเลสาบซีหู  เมื่องหังโจวมีศาลเจ้าของเหย้เฟย และหน้าศาลเจ้าก็มีรูปปั้นเหล็กของฉินขุ้ยและภรรยา คุกเข่าอยู่ ข้างๆ จะมีฝ่ามือทำด้วยไม้แขวนไว้ พอประชาขนมากกราบไหว้ท่านเหย้เฟยแล้ว ก็ออกมาที่หน้าศาลเจ้า จะคว้าฝ่ามือไม้ฟาดที่รูปปั้นของฉินขุ้ย และภรรยา พร้อมสาปแช่ง

นิทานทั้ง 3 เรื่อง ประชาชนไม่มีใจลำเอียง ทุกคนนิยมความดี และรังเกียจความชั่ว นี่คือสิ่งสะท้อนจากใจของคนละ !


คัมภีร์ :  ต้องโทษวิบัติตามมา


อธิบาย : ท่านอริยเจ้าไท้ฮือ   กล่าวว่า “ถ้าหากผู้อื่นเอาภัยวิบัติย้ายมาให้กับอาตมา  ถ้างั้นอาตมาก็จะเอาบุญวาสนาตอบแทนไป ถ้าหากว่าสามารถทำได้เช่นนี้แล้ว  ที่สุดแล้ว  ปราณแห่งบุญวาสนาก็เริ่มต้นมาจากที่เรานี่เอง  ส่วนปราณร้ายภัยพิบัติก็ออกมาจากคนชั่วแน่นอน”  ท่านพูดถึงโทษบาปภัยวิบัติย่อมติดตามคนชั่ว  ทั้งนี้เพราะว่าปราณร้ายวิบากหนักมักอยู่กับตัวของคนชั่ว  ดังนั้นโทษบาปภัยพิบัติจึงติดตามคนชั่ว

อวตังกะสูตรว่า “เวไนยสัตว์แห่งชมพูทวีป เป็นทวีปแห่งความเลวร้าย เวไนยสัตว์แห่งทวีปนี้  ไม่ยอมบำเพ็ญกุศลธรรมบทสิบ หากแต่มีความชำนาญในการก่อกรรมชั่ว ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักขโมย ล่วงประเวณี           พูดส่งเดช พูดหลอกลวง พูดหยาบคาย ลิ้นสองแฉก โลภโกรธเห็นผิด ไม่กตัญญูพ่อแม่ ไม่นับถือไตรรัน์ ชอบอาฆาตมาดร้ายต่อสู้กัน หลอกลวงกล่าวร้ายซึ่งกันและกัน ชอบแสดงความเห็นตามอารมณ์แสวงหาอย่างผิดกฎหมาย ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านี้  จึงเป็นการกวักหา คมดาบ ความอดอยาก เจ็บป่วย ความตาย ภัยธรรมชาติ ภัยมนุษย์ต่างๆ ตอบสนอง”  จะเห็นได้ว่า เป็นการทำเองรับเอง รับผลชั่วเองล้วนแล้วแต่ตนเป็นผู้แสวงหา ไม่ใช่ผู้อื่นสร้างให้เลย ! ถ้าหากต้องการมงคลพ้นเคราะห์ละก็  ก็ต้องเริ่มต้นจากใจคิดชั่วขณะหนึ่งนี่เอง นรกหรือสวรรค์ก็อยู่ต่อหน้าเราแล้ว

ถ้าสมมุติมีคนยอมบำเพ็ญกุศลธรรมบทสิบ แล้วได้รับผลตอบสนองชั่วละก็ คงจะเป็นไปไม่ได้ หลักธรรมแบบนี้ไม่มีแน่นอน !



นิทาน : ในสมัยราชวงศ์ฮั่น นายเหลียงจ้ง ได้ขอให้ราชสำนักเพิ่มบทลงโทษในกฎหมายให้มากขึ้น แต่ทางราชสำนักไม่ได้เห็นตามข้อเสนอของเขา ต่อมานายเหลียงจ้งก็ได้ฝันว่า ในความฝันเทพเจ้าได้พูดกับเขาว่า “เหลียงจ้งเอ๋ย ! ถึงแม้ว่าจะโชคดีที่ทางราชสำนักไม่รับฟังความคิดเห็นของเจ้าก็ตามที แต่ทางยมโลกได้บันทึกโทษบาปของเจ้าไว้แล้วเพราะเจ้าคิดจะทำบทลงโทษมาทำร้ายประชาชน นับว่าใจของเจ้านี้เหี้ยมโหด ถ้าเป็นเช่นนั้น ลูกหลานของเจ้าจะขจัดลบโทษบาปได้อย่างไรการกระทำของเจ้าละเมิดเบื้องบนไปแล้ว  ถึงแม้เจ้าจะ ภาวนาร้องขอก็ไม่มีประโยชน์”  ต่อมา ลูกของนายเหลียงจ้ง ก็ไม่ได้ตายดี สืบต่อถึงนายเหลียงพี ยิ่งเลวร้ายมากขึ้น ในที่สุดฮ่องเต้ก็ลงโทษสั่งประหารทั้งตระกูล

 

 


คัมภีร์ : มงคลโชคลาภหลบหาย


อธิบาย : ความสิริมงคลและงานมงคลต่างๆ  ล้วนพากันหลบหายไปไกลๆ ควรจะรู้ว่า “ธรรมแห่งฟ้าไร้ญาติ ญาติดีกับคนดีเท่านั้น”  ถ้าหากคนเราสามารถละชั่วทำดี ระมัดระวังตนเอง คล้อยตามหลักธรรมฟ้า  แน่นอนในขณะที่สงบเงียบ ใจก็จะหลอมรวมกับธรรมแห่งฟ้าขณะการเคลื่อนไหว การกระทำก็จะพบกับความสิริมงคล  ถ้าหากมีคนที่ใจตรงกันข้าม เราก็มักจะพบเห็นได้ ว่าเขามักจะไม่รอดพ้นโทษกรรม ที่ไม่เห็นก็แสดงว่าเขาได้ถูกเทพหรือผีทำโทษ  โดยคนชั่วจะถูกเทพหรือผีตัดอายุขัย  จึงตายอายุสั้น  มงคลโชคลาภก็ห่างหายหลบไปไกล  ทั้งเคราะห์ภัยโทษบาปก็ตามมาคิดบัญชี  ยังไงเสียก็หลบไม่พ้นหรอก !


นิทาน : ในสมัยก่อน มีนักศึกษาคนหนึ่งชื่อ  หวังเซิน เป็นคนใจร้าย คับแคบ เรื่องที่ทำด้วยละเมิดหลักธรรมฟ้า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเข้าสอบแข่งขันเพื่อรับราชการ บทความของเขาเยี่ยมมาก  อาจารย์ผู้ควบคุมการสอบคิดจะใส่ชื่อเขาไว้อันดับต้นๆ แต่พอถึงตอนจะเขียนชื่อในประกาศ  ปรากฏว่าบทความของเขาหายไป  หลังจากประกาศชื่อผู้สอบได้ออกไปแล้ว  ก็พบบทความของเขาร่วงออกมาจากแขนเสื้อ ผู้คุมสอบรู้สึกเสียใจอย่างมาก  ถึงกับแอบนัดพบกับหวังเซิน แล้วให้คำสัญญาว่า  หากมีโอกาสก็จะเอาเขาบรรจุเข้าในตำแหน่งว่าง  เหตุการณ์ผ่านไปไม่นานนัก  ผู้คุมสอบก็ถูกย้ายไปที่อื่น  หวังเซินจึงหมดโอกาสไปรอจนถึงวาระสอบรอบใหม่ ผู้คุมสอบเดิมก็ได้ย้ายกลับมาคุมสอบใหม่  ผู้คุมสอบได้พบหวังเซินอีกครั้ง ก็รู้สึกดีใจ ถึงกับรับปากจะหาตำแหน่งดีๆ ให้ เพื่อชดเชยโอกาสครั้งก่อนที่พลาดไป  พอมาถึงตอนคัดเลือกบิดาของผู้คุมสอบตายลง  ผู้คุมสอบจึงต้องลาพักกลับไปต่างจังหวัดเพื่อจัดงานศพและไว้ทุกข์เป็นเวลาถึง 3 ปี ตามประเพณี หลังการไว้ทุกข์ก็กลับมาที่ราชสำนัก และรับตำแหน่งผู้คุมสอบตามเดิม แต่ถึงตอนนี่นายหวังเซินก็อายุมากขึ้น  อันที่จริงเขาควรได้รับตำแหน่งและมีเงินเดือนรวมหนึ่งหมื่นตำลึงทองเชียวละ  และวันเวลาก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว แต่ชั่วไม่กี่วันมารดาเขาก็เสียชีวิต  จึงต้องอยู่กับบ้านไว้ทุกข์จึงพลาดโอกาสอีก  นายหวังเซินผ่านอุปสรรคมากครั้ง  ผู้คุมสอบก็รู้สึกสงสารถึงชะตากรรมที่ตกอับของเขา จึงพาเขาไปฝากเป็นครูประจำบ้านของข้าราชการผู้ใหญ่ ในเวลาสามปีเขาก็จะได้รับเงินตอบแทนักหนึ่งพันตำลึงทอง แต่เขาทำงานไปยังไม่พอเดือนหนึ่ง  ข้าราชการผู้นี้ก็มีเรื่องต้องออกจากราชการ เขาจึงตกงานไป ตลอดชีวิตของหวังเซินประสบแต่เหตุการณ์ประหลาด มองเห็นอนาคตสวยหรูอยู่แค่เอื้อมก็ให้มีอันเป็นไป จิตใจหวังเซินจึงหาความสงบไม่ได้ ทำให้ล้มป่วยลงนานถึง 3 ปี  วันหนึ่งหวังเซินก็บรรลุรู้  เขาพูดว่า “เหล่านี้เพราะตนส่งสมแต่กรรมชั่ว  เพราะฉะนั้นจึงได้รับแต่ผลร้าย !”  ภายหลังที่หวังเซินสำนักผิดและแก้ไขเรื่อยมา ความเจ็บป่วยของเขาจึงหายได้เหตุนี้หวังเซินจึงตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ความดี


คำคม : นายซิซีหยวน กล่าวว่า “บุญวาสนาในโลก หากไม่มีใจที่ดีหมั่นตักเตือนตนแล้ว บุญวาสนาไม่มีทางเอามาได้ หากไม่ทำเรื่องสงเคราะห์ช่วยเหลือคนแล้ว  บุญวาสนาก็ไม่มีทางคู่เคียงได้”  ช่างมีเหตุผลน่าฟังมาก !

 


คัมภีร์ : ดาวร้ายภัยตาม


อธิบาย :  ดาวร้ายอุบาทว์ ก็จะนำภัยพิบัติให้กับคนชั่ว

ดาวร้าย :  ดาวร้ายคือ เทพที่ดูแลภัยพิบัติ ฆาตเคราะห์ทั้งหลายของมนุษย์ อยากจะรู้ชีวิตคนบนโลก ในแต่ละวันหรือในแต่ละสารท ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของแสงดาว ผู้ที่ทำชั่ว เพราะใจจะมืดมัวอยู่เสมอเพราะปราณสีดำของตัวเขาจะพวยพุ่งสู่ข้างบน  เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับร้ายกวักร้าย เพราะฉะนั้น ดาวร้ายจึงลงมาบนหัวของเขา ภัยพิบัติกับร้ายกวักร้าย เพราะฉะนั้น ดาวร้ายจึงลงมาบนหัวของเขา ภัยพิบัติจึงติดตามตัว สำหรับคนที่ทำดี เพราะว่าพื้นจิตใสสว่าง ปราณชั่วร้ายก็ค่อยๆ จางหายไป ดาวร้ายก็ต้องหลบเขา  แล้วจะส่งภัยพิบัติให้เขาได้หรือ ที่จริงแล้ว คนต่างหากที่สร้างวิบากกรรม ดาวร้ายจึงส่งภัยพิบัติให้เขา มิใช่ดาวร้ายไม่ดี  ตนเองไม่ดีต่างหากเล่า ! เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้แล้ว  คนจะไม่กลัวเกรงได้อย่างไร ทำตัวให้ดีสำรวจความชั่วของตน เพื่อดึงใจฟ้ากลับมา !


นิทาน : ที่มณฑลซานตง  เมืองลี่เฉิน มีคนหนึ่งชื่อ หม่าฉางซื่อ อาศัยว่าตนฉลาดมีความสามารถ จึงอันธพาลไปทั่ว ไม่ชั่วไม่ทำ มีอยู่วันหนึ่งดาวปัญญาก็ลงมาจากฟ้าสู่ลานบ้าน กลายเป็นหินก้อนใหญ่ จากนั้นมาบ้านของหม่าฉางซื่อ มีคดีความไม่หยุดหย่อน โรคภัยก็ถามหา การทะเลาะเบาะแว้งภายในบ้านเกิดขึ้นเป็นประจำ เวลาผ่านไปแค่หนึ่งปีหม่าฉางซื่อก็ตายลง คนในบ้านก็แตกกันไปคนละทิศละทาง กลายเป็นบ้านร้างไป รอบๆ ก้อนหินใหญ่มีแถบกว้างเป็นฟุตสีม่วง และปรากฎเหมือนมีอักษร หินก้อนนั้นยังอยู่มาถึงปัจจุบัน

 


คัมภีร์ :  ขัยสิ้นก็ตาย


อธิบาย : ทำให้อายุขัยของคนชั่วถูกตัดทอนไปเรื่อยๆ จนหมดอายุขัยคนชั่วก็ตายลง

นี่คือคำห้ามปรามของท่านไท่ซั่ง ที่พร่ำบอกแก่ชาวโลก นิสัยที่ชาวโลกทำชั่วจนเคยตัว ยากลำบากที่จะถอดถอนขจัดให้หมดลงล้วนเกิดจากการก่อเรื่องไม่ดีจนกลายเป็นวิบากกรรม วิญญาณกรรมที่กองสุมเป็นภูเขา ความร้อนแรงค่อยเผาชีวิตของเรา วันแล้ววันเล่าจนกว่าชีวิตขัยจะหมดสิ้น นั่นคือวันตายก็มาถึง ความชั่วที่เหลืออยู่ก็กลายเป็นวิบากกรรมที่ติดตามวิญญาณไปเสวยทุกข์ ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นผีนรกที่ต้องรับทุกข์ ทุกข์ที่ได้รับในตอนนี้จะทุกข์ทรมานเหลือประมาณ ไม่ใช่ว่าตายแล้วก็จบสิ้นกันไปหมดเรื่องกันเลย ไม่ง่ายเช่นนั้น  คนที่ทำชั่วแล้วมารู้เช่นนี้คงต้องร้องไห้อย่างโหยหวนเป็นแน่แท้ ควรรู้เอาไว้ว่า “ร่างกายสลายง่ายวิบากกรรมหลบหลีกยาก”  นอกเสียจากผู้การุณย์ที่ใจมั่นคง ต้องเชื่อมั่นในหลักธรรมนี้ใช้โอกาสที่ยังมีลมหายใจอยู่สำนึกผิดเพื่อขจัดโทษกรรมถ้าหากยังเฉยเมยปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ใส่ใจไยดีที่จะแก้ไขความผิด เวลาร้อยปีก็ผ่านรวดเร็วเหมือนจรวด เมื่อถึงคราวสิ้นอายุขัยดินน้ำลมไฟแยกสลาย ค่อยมากังวลเป็นทุกข์ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว


นิทาน ๑ : สมัยก่อนมีคนแก่คนหนึ่ง ตายไปพบกับยมบาล  ก็ต่อว่ายมบาลว่า ทำไมไม่เขียนจดหมายเตือนล่วงหน้าเสียก่อน ยมบาลพูดว่า “ตอนที่เธอสายตายาว ก็คือจดหมายฉบับแรกที่ฉันเขียนให้เธอ ตอนเธอหูตึงก็เป็นจดหมายฉบับที่สองที่ฉันเขียนให้เธอ ตอนที่เธอฟันเสียฉันก็เขียนจดหมายฉบับที่สามแล้ว ตอนที่ร่างกายนับวันอ่อนแอลง ไม่รู้ว่าเป็นจดหมายฉบับที่เท่าไรแล้ว ที่ฉันเขียนให้เธอรู้ตัวล่วงหน้าจะมาว่าขไม่ได้เขีย่นจดหมายให้เธอไม่ได้นะ !” ก็มีคนหนุ่มที่ตายไปพบยมบาล ก็ต่อว่ายมบาลว่า “ตาของฉันยังดีอยู่ หูก็ยังฟังชัด  ฟันก็ยังคมอยู่  ร่างกายหรือก็แข็งแรงมาก  ท่านยมบาลเอาฉันมาทำไมไม่เขียนจดหมายเตือนฉันให้รู้ล่วงหน้า”  ยมบาลตอบว่า “ข้าก็เคยมีจดหมายเตือนเจ้าล่วงหน้าอยู่นะ ! เธอไม่เห็นหรือ บ้านใกล้เรือนเคียงทางทิศตะวันออก อายุแค่ 3-40 ก็ตาย บ้านใกล้เรือนเคียงทางทิศตะวันตก อายุแค่ 10-20 ปี ก็ตายแล้ว  บางคนแค่ขวบเดียว ยังเป็นเด็กอยู่เลยก็ตายแล้ว พวกนี้แหละเป็นจดหมายที่ฉันเขียนให้เธอไงเล่า !” เพราะฉะนั้น จึงพูดว่า ชีวิตคนไม่เที่ยง เหมือนน้ำค้างในตอนเช้าแค่ลมหายใจไม่มาร่างกายก็เป็นซากศพแล้ว  ในพระสูตร 42  บท ก็มีเขียนไว้ พุทธองค์ถามสาวกว่า “ชีวิตคนยาวนานแค่ไหน”  สาวกคนหนึ่งตอบว่า “ชีวิตคนอยู่ในช่วงวัน”  พุทธองค์ตรัสว่า “เธอยังไม่รู้จัก” สาวกอีกรูปหนึ่งตอบว่า “ชีวิตคนอยู่ในระหว่างรับประทานอาหาร” พุทธองค์ตรัสว่า “เธอก็ยังไม่รั้ก” สาวกอีกรูปหนึ่งตอบว่า “ชีวิตคนอยู่ในชั่วลมหายใจเข้าออก”  พุทธองค์ตรัสว่า “เจริญพร !  เจริญพร ! เธอรู้จักแล้ว”


คติพจน์ : ในสมัยราชวงศ์หยวน  พระธรรมาจารย์เทียนหยู  เคยพูดว่า “การที่พุทธองค์อุบัติขึ้นในโลกนี้ ก็เพื่อพวกเราทุกคน ให้ทุกคนมีความตั้งมั่นอยู่ในช่วงหนึ่งแห่งการเกิดดับ เป็นเรื่องสำคัญ ก็อย่างที่พูดว่า “เกิดมาไม่รู้ว่ามาจากที่ไหน ตายไปก็ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน”  นี่เป็นเรื่องสำคัญ !  ถ้าหากยังเกิดอย่างนี้ตายอย่างนี้  ทั้งหมดของมหาปฐพีก็ถูกดรงครอบไว้  ตั้งแต่โบราณมา ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ถูกมหาสมุทรแห่งการเกิดการตายกลืนหมดสิ้น จงอย่าได้พูดว่า เอาตั้งแต่โบราณมาเลยพูดเอาแค่ตั้งแต่เธอมีชีวิตอยู่มา ให้หวนคิดถึงเมื่อ 10-20 ปีก่อนโพ้นญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของเธอได้ตายไปกี่มากน้อยแล้ว  กล่าวไปไยกับผู้อื่น พูดเอาแต่ตัวเองเถอะ ตอนนี้ก็หยิบยืมดินน้ำลมไฟสี่มหาภูตรูปแล้วก็หลงคิดว่า  รูปกายนี้เป็นฉัน  เช้าจรดเย็นหาวิธีต่างๆ มาค่อยรักษามัน เอาของต่างๆ มาเลี้ยงดูมน  แต่มันก็ไม่หยุดที่จะโรยลา  ค่อยเสื่อมทรามลง  ไม่ทันรู้ตัว  วันสิ้นสุดของอายุก็มาถึงแล้ว  มาถึงขณะนี้ก็ชุลมุนวุ่นวายกันใหญ่  เหมือนปูที่ตกลงในหม้อน้ำเดือดที่ทุกข์ทรมาน ! ดูซิ อุดมการณ์อันมั่นคงขอวีรชน ปัจจุบันไปอยู่เสียที่ไหน  โดยเฉพาะหลังการตาย ร่างกายสีสันเปลี่ยนแปลง ทั้งเหม็นทั้งสกปรก ใครก็ทนรับไม่ไหว ถึงแม้จะเป็นญาติสนิทสายโลหิตก็เถอะ  จะมองให้เต็มตาก็ยังไม่อยากเลย แล้วที่พูดว่าความรักผูกพันบุญคุณเหล่านี้เล่ามันหายไปอยู่ที่ไหน เพราะว่าเหตุปัจจัยเหล่าสี้  ดังนั้นพระธรรมาจารย์จึงพูดว่า เพียงลมหายใจหนึ่งขาดลง ก็เหมือนดินฝุ่นไอแล้ว  หนทางข้างหน้าอันเวิ้งว้างไม่รู้จะไปที่ไหอย่างไร  หรือเพียงพายแล้วก็เผาเท่านั้นน่าสมเพชนัก แต่มิใช่อย่างนั้น ภายหลังการตายยังต้องไปรับโทษตามกรรมที่ตนก่อไว้ นี่แหละเป็นเรื่องที่สำคัญละ ! ต้องรู้จักว่าผลตอบสนองติดตามแรงกรรมมา เหมือนเงมที่ติดตามกายสังขาร  ถึงแม้ร่างกายนี้จะตายแล้วก็ตาม  แต่วิญญาณนี้อาจจะตกนรก หรือไปเกิดเป็นเปรตหรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปหมุนเวียนอยู่ในวัฎสงสาร เช่นนี้ก็จะได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างเหลือประมาณได้ นี่คือสภาวะของกรรมตอบสนอง นี่คือรากกรรมของการเกิดการตาย และรากกรรมอันนี้ก็อยู่ที่หนี่งขณะจิตก่อนหน้านั้น  เธอมาตั้งแต่สมัยยังไม่เริ่มต้นอวิชชาที่ทุกข์กังวล  ความคิดที่เพ้อเจ้อ ใจที่ฟุ้งซ่าน สัมผัสกับสภาวะภายนอก หรือพบกับปัจจัยภายนอก ก็หลงติดในรูปในเสียง ทำให้เธอฟั่นเผือ ไม่มีกรรมใดที่ไม่กระทำ  เหล่านี้กลายเป็นรากเหง้าของวัฎสงสาร ! เพราะฉะนั้นเมื่อมาคิดถึงการเกิดการตายเป็นเรื่องใหญ่ต่อให้เป็นบุรุษเหล็กก็ยังครั่นคร้าม เพราะเหตุปัจจัยนี้เอง พระพุทธองค์จึงเกิดมหาเมตตตาสงสาร  สอนให้เรียนพุทธธรรมและปฏิบัติบำเพ็ญเรียนธรรมพิจารณาเซ็น เพื่อให้เธอขจัดล้างความคิดเพ้อเจ้อใจฟุ้งซ่านให้รู้จักเจ้านายตนเอง  ให้รู้จักหน้าตาตนเองก่อนที่พ่อแม่ให้กำเนิดเพราะฉะนั้น ต้องมีวิสัยทัศน์ยืนให้มั่น รีบเร่งทำตัวให้ใสสะอาดหลุดพ้นอย่างนี้แล้ว เหมือนถึงคราวที่ชีวิตจะดับลง  ก็จะได้รับผลมาก ก็อย่างที่พูดว่า การเกิดการตายมีอิสระ  ไม่มีติดขัด  การมาการไปมีเสรีอย่างนี้เรียกว่า  หลุดพ้นการเกิดการตาย  คนแบบนื้ซิจึงจะนับว่าเป็นมหาบุรุษที่แท้จริงล่ะ !