Website แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ให้บริการฤกษ์ยามชั้นสูงของโหราศาสตร์ภารตะจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ และได้ผลตอบรับดีสูงสุดเป็นปีที่ 15 แล้ว WebSite ของเราให้การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากยุโรป "SiteGuarding" บริการดูฮวงจุ้ย แก้ฮวงจุ้ย เสริมฮวงจุ้ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี***

 

 

สังฆกรรมที่ไม่เกี่ยวกับการทอดกฐิน


หากวัดใดมีพระภิกษุเพียง ๑ รูป ๒ รูป ๓ รูป ก็สามารถนิมนต์ พระภิกษุวัดอื่นมาร่วมสังฆกรรมได้ อาทิ
- การให้อุปสมบทในปัจจันตประเทศ   ต้องมีสงฆ์      ๕     รูป
- การให้อุปสมบทในมัชฌิมประเทศ    ต้องมีสงฆ์      ๑๐    รูป
- ภิกษุต้องสังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ           ต้องมีสงฆ์      ๒๐    รูป
- ทำสังฆทานทั่วไป                         ต้องมีสงฆ์      ๔     รูป
- สังฆอุโบสถ                                 ต้องมีสงฆ์      ๔     รูป ขึ้นไป
จำพรรษา : อยู่ประจำวัด ๓ เดือน ในฤดูฝน คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ (ปุริมพรรษา = พรรษาต้น)  หรือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ (ปัจฉิมพรรษา = พรรษาหลัง)
วันเข้าพรรษาต้น คือ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เรียกว่า "ปุริมิกา-วัสสูปนายิกา"
วันเข้าพรรษาหลัง คือ แรม ๑ ค่ำ เดือน ๙ เรียกว่า "ปัจฉิมิกา-วัสสูปนายิกา"
ผ้าจำนำพรรษา คือ ผ้าที่ทายกถวายแก่พระสงฆ์ผู้จำพรรษาครบ ๓ เดือนแล้วในวัดนั้น ภายใน เขตจีวรกาล (แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึง ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒) ทายกผู้ฉลาดจะตั้งเจตนาถวาย ผ้ากฐินและผ้าจำนำพรรษา แก่พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปโดยไม่เจาะจงรูปใดรูปหนึ่ง
ปวารณา :     ๑. ยอมให้ขอ เปิดโอกาสให้ขอ
๒. ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน
เปิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือน
ปวารณา เป็นชื่อสังฆกรรมที่พระภิกษุสงฆ์กระทำในวันสุดท้ายแห่งการจำพรรษา คือในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เรียกว่ามหาปวารณา คือ พระภิกษุทุกรูป (ไม่ว่าพรรษามากหรือพรรษาน้อย) จะกล่าวปวารณา คือ เปิดโอกาสให้กันและกัน ว่ากล่าวตักเตือน เพื่อการแก้ไขปรับปรุงตนเอง ที่ไม่ถูกกันหรือขัดแย้งกันต้องพูดดีมีสามัคคีต่อกัน ฯลฯ ปวารณาเป็นสังฆกรรมประเภท ญัตติกรรม คือทำโดยตั้งญัตติ (เผดียงสงฆ์) อย่างเดียว ไม่ต้องสวดอนุสาวนา (คำขอมติ) เป็นกรรมที่ต้องทำโดยสงฆ์ปัญจวรรค คือภิกษุตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป (สังฆปวารณา) อันเป็นผลที่ให้รับการทอดกฐินได้
สังฆปวารณา    : ปวารณาที่ทำโดยสงฆ์ คือมีภิกษุ ๕ รูป ขึ้นไป
คณปวารณา     : ปวารณาที่ทำโดยคณะ คือมีภิกษุ ๒ - ๔ รูป
ปุคคลปวารณา : ปวารณาที่ทำโดยบุคคล คือมีพระภิกษุรูปเดียว

ศัพท์คำว่า "กฐิน"

คำว่า "กฐิน" ใช้ประกอบคำอื่นมีความหมายอีก หลายประการคือ
ผ้ากฐิน กฐินกาล เทศกาลกฐิน ฤดูกฐิน หน้ากฐิน จองกฐิน ทอดกฐิน ผู้ครองกฐิน ผู้กรานกฐิน องค์ครองกฐิน องค์กฐิน เครื่องกฐิน บริวารกฐิน เจ้าภาพกฐิน แห่กฐิน ฉลองกฐิน อนุโมทนากฐิน กรานกฐิน จุลกฐิน มหากฐิน กฐินหลวง กฐินต้น กฐินพระราชทาน อานิสงส์กฐิน เป็นต้น
การกรานกฐิน : พิธีการที่กระทำคือ ภิกษุสงฆ์จำพรรษาครบ ๓ เดือน ในวัดเดียวกันจำนวน ๕ รูปขึ้นไป ประชุมกันในพระอุโบสถ พร้อมใจกันมอบผ้ากฐินให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ต้องเป็นภิกษุผู้รู้ธรรม ๘ ประการ มีบุพพกรณ์ ๗ เป็นต้น เพื่อทำเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่งให้แล้วเสร็จภายในวันนั้น แล้วประกาศแก่ภิกษุสงฆ์ผู้มอบผ้าให้รับทราบ  เพื่ออนุโมทนา เมื่อภิกษุสงฆ์ได้อนุโมทนาแล้ว เรียกว่า "กรานกฐิน" ภิกษุผู้เย็บจีวรเช่นนี้ เรียกว่า "ผู้กราน" ถ้าเป็นจีวรสำเร็จรูป จะไม่มีการกรานกฐิน

กาลิก ๔

กาลิก : เนื่องด้วยกาล ขึ้นกับกาล ของอันจะกลืนกินให้ล่วงลำคอเข้าไป ซึ่งพระวินัยบัญญัติให้ภิกษุรับเก็บไว้ และฉันได้ภายในเวลาที่กำหนด จำแนกเป็น ๔ อย่าง ได้แก่
๑. ยาวกาลิก หมายถึง อาหารทุกอย่าง เช่นข้าว ปลา เนื้อ ผลไม้ ขนมต่างๆ รวมทั้ง นม ไมโล โอวัลติน (เว้นจากกาลิก ๓ อย่าง ที่จะกล่าวต่อไป) ภิกษุรับอังคาสแล้ว ฉันได้ตั้งแต่อรุณขึ้น จนถึงเที่ยงตรง
๒. ยามกาลิก หมายถึง น้ำผลไม้ ๘ อย่าง อัฏฐปานะ รวมทั้งน้ำผลไม้สงเคราะห์ต่างๆ (เว้นน้ำผลไม้ที่มีผลใหญ่ เช่นมะพร้าว แตงโม สับปะรด ฯลฯ) ภิกษุรับอังคาสแล้ว ฉันได้ชั่วยาม หมายถึง ยามสุดท้าย คือหมดเขต เมื่ออรุณขึ้น
๓. สัตตาหกาลิก หมายถึง เภสัช ๕ คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย (พวกน้ำตาลทราย น้ำตาลปี๊ป น้ำตาลปึก ก็สงเคราะห์ในน้ำอ้อยด้วย) ภิกษุรับอังคาสแล้ว เก็บไว้ฉันได้ ๗ วัน หมดเขตเมื่อ อรุณขึ้นของวั้นที่ ๘ (๐๖.๐๐ น.)
๔. ยาวชีวิก หมายถึง ยารักษาโรคต่างๆ ทั้งแผนโบราณ และแผนปัจจุบัน ภิกษุรับอังคาสแล้ว เก็บไว้ฉันได้ตลอดชีวิต
กาลิกทั้ง ๔ นี้ ถ้าระคนปนกันในการอังคาส จะนับอายุตามกำหนดเวลาของกาลิกที่มีอายุสั้น เช่น น้ำอัฏฐปานะระคนกับอาหาร ก็ฉันได้เพียงเช้าถึงเที่ยงวัน  น้ำผึ้งระคนกับน้ำอัฏฐปานะ จะฉันได้เพียงวันคืนหนึ่งภายในก่อนอรุณขึ้น หรือยารักษาโรคระคนกับน้ำผึ้ง น้ำอ้อย ก็เก็บไว้ฉันได้เพียง ๗ วัน อย่างนี้เป็นต้น

เภสัช ๕ ภิกษุฉันในเวลาวิกาลได้

ครั้งหนึ่งในฤดูสารท (ฤดูอับลม) ภิกษุเป็นอันมาก เกิดเจ็บไข้ไม่สบาย ฉันอาหารไม่ค่อยได้ ฉันแล้วอาเจียน เป็นโรคผอมแห้งแรงน้อย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเหตุนั้นแล้ว จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุ ฉันเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นยาได้ เพราะฉะนั้น เภสัชเหล่านี้จึงจัดเป็นยาก็ได้ เป็นอาหารก็ได้ ดังพระบาลีว่า
อิมานิ โข ปน เภสชฺชานิ เสยฺยถิทํ สปฺปิ นวตีตํ เตล มธุ
ผาณิตํ เภสชฺชานิ เจว เภสชฺชสมฺมตานิ จ โลกสฺส อาหารตฺถญฺจ
ผรนฺติ น โอฬาริโก อาหาโร ปญฺญายติ อนุชานามิ ภิกฺขเว ตานิ
ปญฺจ เภสชฺชานิ ปฏิคฺคเหตฺวา กาเลปิ วิกาเลปิ ปริภุญฺชิตุ ํ  ฯ
เภสัช ๕ เหล่านี้คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นเภสัชอยู่ในตัว และเขาสมมุติว่าเป็นเภสัช  ทั้งสำเร็จประโยชน์อาหารกิจแก่สัตว์ และไม่ปรากฏเป็นอาหารหยาบ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอนุญาตให้รับอังคาสเภสัช ๕ นั้นแล้ว บริโภคได้ทั้งในกาลทั้งในเวลาวิกาล
สำหรับ ปลา เนื้อ นมสด นมข้น  สี่อย่างนี้เป็นปณีตโภชนะ ไม่จัดเป็นเภสัช ๕ ดังกล่าว ทั้งไม่จัดเข้าในยาวชีวิก (ยา) และยามกาลิก (น้ำปานะ) ดังนั้น ภิกษุสามเณรจึงไม่ควรดื่มนม หรือเครื่องดื่มผสมนมในเวลาวิกาล
ข้าวได้ชื่อว่า "ปพฺพณฺณ" ถั่วได้ชื่อว่า "อปรณฺณ" ทั้งสองอย่างนี้ในพระบาลี และอรรถกถาจัดเป็นยาวกาลิก ภิกษุสามเณรไม่ควรฉันในเวลาวิกาล แม้จะต้มหรือกรองหรือทำเป็นเครื่องดื่มต่างๆ ก็ไม่ควรฉัน

นอกจากนั้น น้ำแห่งผลไม้ใหญ่ ๙ ชนิด คือ ตาล มะพร้าว ขนุน สาเก น้ำเต้า ฟักเขียว แตงไท แตงโม และฟักทอง ก็ไม่ควรฉันในเวลาวิกาลเช่นเดียวกัน
น้ำอัฏฐบาน (น้ำปานะ ๘ อย่าง)  คือน้ำสำหรับดื่มที่คั้นจากผลไม้ ๘ ชนิด ได้แก่
๑. อมฺพปานํ         น้ำมะม่วง
๒. ชมฺพุปานํ         น้ำชมพู่ หรือน้ำหว้า
๓. โจจปานํ          น้ำกล้วยมีเม็ด
๔. โมจปานํ         น้ำกล้วยไม่มีเม็ด
๕. มธุกปานํ         น้ำมะทราง
๖. มุทฺทิกปานํ      น้ำลูกจันทน์ หรือองุ่น
๗. สาลุกปานํ       น้ำเหง้าอุบล
๘. ผารุสกปานํ     น้ำมะปราง หรือลิ้นจี่

วัตถุอนามาส
(สิ่งที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง)

นอกจากกายของมาตุคามและเงินทองแล้ว ยังมีวัตถุอื่นๆ อีกที่ภิกษุไม่ควรจับต้อง ซึ่งล้วนเป็นวัตถุแห่งอาบัติทั้งสิ้น ดังนี้
๑. กายของมาตุคาม ถ้าจับต้องด้วยรู้ว่าเป็นมาตุคาม แม้ไม่มีความกำหนัด ต้องอาบัติทุกกฎ  จับต้องด้วยความกำหนัด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
๒. ผ้านุ่งห่มและเครื่องประดับของมาตุคาม แต่สิ่งใดแม้เป็นของเนื่องด้วยกาย ถ้ามาตุคามถวายแล้วไม่เอาคืน ภิกษุสามารถถือเอาสิ่งนั้นได้ เช่นภิกษุถูกโจรชิงจีวรไป อุบาสิกาจึงเปลื้องผ้านุ่ง หรือผ้าห่มวางแทบเท้า ภิกษุควรเพื่อถือเอาผ้านั้นทำเป็นจีวร ไม่เป็นโทษ
๓. รูปปั้น ที่ทำด้วยวัตถุต่างๆ รูปไม้แกะสลัก แม้รูปเขียนที่ทำให้มีสัณฐานผู้หญิง ภิกษุจับต้อง ต้องอาบัติทุกกฎ
๔. ธัญชาติ ๗ ชนิด ได้แก่ ข้าวสาลี ข้าวจ้าว ข้าวเหนียว ข้าวละมาน ข้าวฟ่าง ลูกเดือย หญ้ากับแก้ ถ้ายังเป็นข้าวเปลือกอยู่ ภิกษุจับต้อง ต้องอาบัติทุกกฎ แต่ถ้าสีให้เป็นข้าวสารแล้ว จับต้องไม่ต้องอาบัติ
๕. อปรัณชาติ มีถั่วเขียว และถั่วเหลือง เป็นต้นก็ดี ผลไม้มีขนุน มะพร้าว กล้วย และมะม่วงก็ดี ที่เกิดอยู่บนต้น ภิกษุจับต้อง ต้องอาบัติทุกกฎ
๖. รัตนะ ๑๐ ประการ ได้แก่ มุกดา (ไข่มุก) มณี ไพฑูรย์ สังข์ ศิลา ประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม บุษราคัม ภิกษุจับต้องรัตนะ ๑๐ เหล่านี้ ต้องอาบัติทุกกฎ เงินและทอง ภิกษุรับเพื่อประโยชน์ตน ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ รับเงินทองเพื่อผู้อื่น แม้รับให้สงฆ์ ก็ไม่พ้นอาบัติทุกกฎ สิ่งของมีค่ารวมทั้งรัตนะเหล่านี้ ถ้าตกในวัด หรือที่อยู่ของภิกษุ ภิกษุต้องเก็บเอาไว้คืนเจ้าของ ถ้าไม่เก็บไว้ ต้องอาบัติทุกกฎ เพราะถ้าเจ้าของหาทรัพย์ที่ตกในวัดไม่พบ อาจเข้าใจว่าภิกษุลักถือเอาไป พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงอนุญาตให้ภิกษุเก็บไว้เพื่อป้องกัน ข้อติเตียน แต่ถ้าสิ่งของมีค่าตกอยู่นอกวัด ห้ามภิกษุเก็บ ถ้าเก็บย่อมมีโทษ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
๗. อาวุธ เครื่องประหารทุกชนิด เช่น มีด ขวาน หอก ดาบ ธนู ปืน เป็นต้น ภิกษุไม่ควรจับต้อง แต่ถ้ามีผู้ถวายและสามารถใช้เป็นกัปปิยภัณฑ์ (ของใช้ที่สมควรแก่ภิกษุ) ได้ ควรรับตามสมควร
๘. เครื่องดักสัตว์ และจับสัตว์ทั้งหลาย เช่น แห อวน ตาข่าย เบ็ด ข้อง เป็นต้น เป็นอนามาสทุกอย่าง
๙. เครื่องดนตรี มีพิณและกลองที่ขึงด้วยหนัง เป็นต้น ก็เป็นวัตถุแห่งอาบัติทุกกฏ
พระวินัยแม้เล็กน้อยเหล่านี้ คฤหัสถ์ควรทราบไว้ เพื่อไม่เลื่อมใสในผู้ปฏิบัติผิด เพื่ออนุเคราะห์แก่ภิกษุผู้ปฏิบัติตามพระวินัย ซึ่งเป็นการดำรงพระพุทธศาสนา กุศลของอุบาสก อุบาสิกาผู้เข้าใจพระธรรมวินัย ย่อมเป็นกุศลที่ถึงพร้อมด้วยความรู้ถูก มีความเห็นถูก ในพระพุทธธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก

ปฐมเหตุการทอดกฐิน

ปฐมเหตุ การทอดกฐิน (จากกฐินขันธกะ พระวินัยปิฎก และอรรถกถาแปล เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาคที่ ๒ ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๗/๙๑ น.๑๙๓) ความว่า

สมัยเมื่อ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ วัดเชตวันมหาวิหารอารามของท่านอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี แคว้นโกศล ครั้นนั้น พระภิกษุ ภัททวัคคีย์ ๓๐ รูป (ระดับภูมิธรรมระหว่างพระโสดาบัน – พระอนาคามี) ชาวเมืองปาไฐยรัฐ ล้วนถืออารัญญิกธุดงค์ (ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร) บิณฑปาติกธุดงค์ (ถือการบิณฑบาตเป็นวัตร) และเตจีวริกธุดงค์ (ถือการครองผ้า ๓ ผืน เป็นวัตร) เดินทางไปพระนครสาวัตถี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่เดินทางมาไม่ทัน เพราะจวนเข้าพรรษา จึงต้องหยุดจำพรรษา ณ เมืองสาเกต พระภิกษุเหล่านั้นจำพรรษาด้วยใจรัญจวนว่า : พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ใกล้ ๆ เราระยะทางห่างกันเพียง ๖ โยชน์ แต่พวกเราก็ไม่ได้เฝ้าพระพุทธองค์
ครั้นล่วงไตรมาส พระภิกษุเหล่านั้นออกพรรษา ทำปวารณาเสร็จแล้ว ได้มุ่งตรงมายังวัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ขณะนั้นในชมพูทวีปยังมีฝนตกชุก พื้นภูมิภาคเต็มไปด้วยน้ำ เป็นหล่มเลนโคลนตม มีน้ำขังอยู่ในที่ต่างๆ ตามทางที่เดินทางผ่านมา พระภิกษุทั้ง ๓๐ รูป ได้รับความลำบากจากการเดินทาง มีจีวรชุ่มชื้นไปด้วยน้ำและมีหล่มเลนโคลนตม อีกทั้งยังต้องฝ่าแดด กรำฝน ลำบากกาย จีวรขาดวิ่น จนมาถึงวัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ก็มิได้รั้งรอ เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ทรงปราศัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลายนั้นเป็น พุทธประเพณี

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามพระภิกษุเหล่านั้นว่า


พระผู้มีพระภาคเจ้า :    
“ ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอยังพอทนได้หรือ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกันร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน จำพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตหรือ ”

พระภิกษุภัททวัคคีย์ :
“ พวก ข้าพระพุทธเจ้ายังพอทนได้ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า อนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกันไม่วิวาทกัน จำพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้าในชุมนุมนี้  เป็นภิกษุปาไฐยรัฐจำนวน ๓๐ รูป เดินทางมาพระนครสาวัตถี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจวนถึงวันเข้าพรรษาไม่สามารถจะเดินทางให้ทันวันเข้าพรรษาในพระนครสาวัต ถี  จึงจำพรรษา ณ เมืองสาเกต ในระหว่างทาง พวกข้าพระพุทธเจ้านั้นจำพรรษามีใจรัญจวนว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ใกล้ๆ เราระยะทางเห่างเพียง ๖ โยชน์ แต่พวกเราก็ไม่ได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นล่วงไตรมาส พวกข้าพระพุทธเจ้าออกพรรษา ทำปวารณาเสร็จแล้ว เมื่อฝนยังตกชุก พื้นภูมิภาคเต็มไปด้วยน้ำ และมีหล่มเลน โคลนตม มีจีวรชุ่มชื้นด้วยน้ำ ฝ่าแดด กรำฝน ลำบากกาย เดินทางมา พระพุทธเจ้าข้า ”
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า :
“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลาย ผู้จำพรรษาแล้วได้กรานกฐิน พวกเธอผู้ได้กรานกฐินแล้วจักได้อานิสงส์กฐิน ๕ ประการคือ
๑. อนามนฺตจาโร เที่ยวไปไหน ไม่ต้องบอกลา (ภิกขาจารไปโดย ไม่ต้องบอกลา)
๒. อสมทานจาโร ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ (ผ้า ๓ ผืน : สบง จีวร สังฆาฏิ)
๓. คณโภชนํ ฉันคณะโภชน์ได้ (ฉันเป็นหมู่ ได้ คือภิกษุตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป เจ้าภาพสามารถบอกชื่ออาหาร คือ โภชนะ ๕ ได้แก่ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ)
๔. ยาวทตฺถจีวรํ เก็บอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา (ปกติเก็บไว้ ได้ไม่เกิน ๑๐ วัน)
๕. โย จ ตตฺถ จีวรุปฺปาโท โส เนสํ ภวิสฺสติ จีวรลาภอันเกิดขึ้นในที่นั้นเป็นของได้แก่ พวกเธอ (ลาภสักการะที่สมควรแก่พระภิกษุ เช่นไตรจีวร ผ้าห่ม ผ้าเช็ดหน้า เครื่องใช้ต่างๆ เจ้าภาพถวายแล้ว พระภิกษุเก็บไว้ได้เอง โดยไม่เป็นของสงฆ์)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ ๕ ประการนี้ จักได้แก่พวกเธอทั้งหลายผู้ได้กรานกฐินแล้ว ”


พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารภเรื่องนี้เป็นปฐมเหตุ ทรงมีฉันทานุมัติตามพุทธประเพณีที่มีมา ต้องมีพระภิกษุ ๓๐ รูป ซึ่งเป็นพระภิกษุปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบในธุดงควัตร อยู่ป่าเป็นวัตร บิณฑบาตเป็นวัตร และปฏิบัติกิจด้วยผ้า ๓ ผืน เป็นวัตร อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะท่านได้สะสมบารมีมา พระภิกษุภัททวัคคีย์ทั้ง ๓๐ รูป เคยได้เห็นพระภิกษุ ๓๐ รูป ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ท่านได้ถวายภัตตาหารในพระพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ และท่านได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ถ้าได้เกิดมาภพหนึ่ง ชาติใดในพระพุทธศาสนา ขอให้ได้เป็นเอตทัคคะ หรือเป็นผู้ได้รับฉันทานุมัติเป็นท่านแรกหรือเป็นคณะแรกทั้ง ๓๐ ท่าน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฉันทานุมัติให้ยกเว้น หรือได้อานิสงส์จากการกรานกฐิน ๕ ประการ บุรุษทั้ง ๓๐ ท่านได้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เกิดมาพบกันทุกชาติ เพราะสร้างกุศลมาร่วมกัน มากบ้างน้อยบ้างในแต่ละชาติ การที่ท่านได้มาเกิดในสมัยของพระสมณโคดมพุทธเจ้า จะได้สร้างกุศลใหญ่ คือท่านจะเป็นปฐมเหตุ ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานพุทธานุญาตให้พระภิกษุรับผ้ากฐิน กรานกฐิน และได้รับอานิสงส์กฐิน ๕ ประการ เมื่อออกพรรษาแล้ว เมื่อเป็นดังนี้ พระภิกษุภัททวัคคีย์ ๓๐ รูป ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าและได้สดับฟังพระธรรมีกถาเรื่อง “อนมตัคคิยกถา” ได้บรรลุ “พระอรหัตตผล” ทุกรูป ในวาระกาลจบพระธรรมเทศนา
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระภิกษุจึงได้รับผ้ากฐินตามพระวินัยบัญญัติ มหาอุบาสิกาวิสาขา (พระโสดาบัน) ได้ทราบพระพุทธานุญาต จึงได้เป็นท่านแรกที่ได้ถวายผ้ากฐินแก่พระภิกษุสงฆ์ในบวรพุทธศาสนา

สาธุ สาธุ อนุโมทามิ