Website แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ให้บริการฤกษ์ยามชั้นสูงของโหราศาสตร์ภารตะจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ และได้ผลตอบรับดีสูงสุดเป็นปีที่ 15 แล้ว WebSite ของเราให้การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากยุโรป "SiteGuarding" บริการดูฮวงจุ้ย แก้ฮวงจุ้ย เสริมฮวงจุ้ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี***

 

ฤกษ์ยามเป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนรู้จัก มักคุ้นกันมานาน แต่ฤกษ์ยามก็มีหลายระดับชั้นมีการใช้ตำรากันผิดแผกแตกต่างกันมากมาย แต่สิ่งทีีจะเล่าในตอนนี้ก็คือฤกษ์ยามในแบบของโหรที่แท้จริง นั่นก็คือฤกษ์ในแบบโหรหลวงที่นิยมใช้กัน ซึ่งฤกษ์ยามแบบนี้ในสมัยโบราณถือว่าเป็นฤกษ์ยามชั้นสูง คนสามัญทั่วไปจะใช้กันไม่ได้ จะใช้ได้ก็แต่เจ้าพระมหากษัตริย์หรือเจ้านายชั้นสูงเท่านั้น เพราะว่ากันว่าในสมัยก่อนกว่าจะคำนวณดวงดาวได้ก็ตั้งใช้เวลากันเป็นวันๆแถม การคำนวนและการศึกษาวิชาโหราศาสตร์ชั้นสูงนี้ก็แทบจะหาคนเล่าเรียนได้ยากนัก จะมีก็แต่โหรในวังหรือก็พระภิกษุผู้ทรงแตกฉานในคัมภีร์โบราณ เช่น พระคัมภีร์สุริยาตร์และสารัมภ์เท่านั้น  ชาวบ้านทั่วไปแทบจะไม่มีสิทธิใช้ฤกษ์แบบนี้กันได้เลย แต่ชาวบ้านก็มีแต่ฤกษ์ทั่วๆไปแบบชาวบ้านๆเช่น ยามอุบากอง  วันและดิถีตามแบบกาลโยคประจำปี ว่าวันไหนดีไม่ดี เป็นต้น

แต่ในยุคนี้เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการคำนวนดวงดาวหรือโหราศาสตร์ภาคคำนวนนั้นทำได้ง่ายดายกว่าเดิมมากเพียงแค่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวเท่านั้น องศาลิปดา ของดาวต่างๆก็จะปรากฏออกมาให้เห็นและคำนวนกันได้อย่างง่ายดาย ทำให้หมดปัญหาในเรื่องของการคำนวนออกไปได้

ส่วน โหราศาสตร์ในภาคพยากรณ์นั้นก็มีตำหรับตำราออกมามากมายเรียนกันไม่หวาดไม่ไหวกันเลยที่เดียวแต่ในส่วนของฤกษ์ที่ผมใช้นั้นก็คือมาจากหลักครูโหรไทยโบราณผสมผสานกับหลักโหราศาสตร์แบบพระเวทย์หรือโหราภารตะซึ่งก็เป็นหลักครูของโหรไทยอีกที หลักเกณฑ์ของการหาฤกษ์แบบภารตะนี้ เรียกว่าชั้นครูเลยทีเดียว หากใครศึกษาโหราศาสตร์ (ต้องเป็นวิชาโหราศาสตร์ระบบดวงดาวเท่านั้น ไม่ใช่วิชาหมอดูทำนายทั่วๆไป) ก็ต้องเรียกว่าช่ำชองกันมานานนับสิบปีที่เดียวจึงจะให้ฤกษ์ยามใครต่อใครเอาไปใช้ได้ เพราะวิชาหาฤกษ์ยามนั้นจัดว่าเป็นสุดยอดของวิชาโหรแท้ๆ เป็นวิชาโหราศาสตร์ขั้นสูงซึ่งศึกษาร่ำเรียนกันยากมาก

แต่เดี๋ยวนี้เห็นหลายคนเพิ่งจะหัดเรียนโหรหรือเรียนหมอดู  เรียนไปมาสองสามเดือนก็ตั้งตนเป็นอาจารย์ดูดวงให้ฤกษ์กันแล้วซึ่งก็น่าหวาดเสียวกันพอดู วิชาฤกษ์นั้น เป็นหลักสำคัญในการแก้ไขดวงชาตาหลักหนึ่งซึ่งสำคัญมาก เพราะด้วยฤกษ์ยามที่จะกระทำการมงคลหรือเริ่มกิจการอันใดอันหนึ่งนั้นให้เจริญเติบโต รุ่งเรืองไปได้ตลอดรอดฝั่งนั้นจำเป็นจะต้องใช้ดวงชาตาของเจ้าการ(ที่จะทำการนั้น)ผสมผสานกับฤกษ์ที่อยู่บนฟ้าให้เหมาะสมลงตัว โดยดวงฤกษ์ได้ไปทำการแก้ไขจุดเสียในดวงชาตาดวงเดิมของเจ้าการอีกทั้งได้ส่งเสริมให้คุณแก่ดวงเดิมของเจ้าการนั้นๆ ให้ประกอบกิจการเจริญก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง  ซึ่งถ้าหากดวงเดิมของเจ้าการไม่ดีหรือมีจุดเสียแล้วดวงฤกษ์นี่แหละที่จะช่วยปัดเป่าอุปสรรคหรือช่วยแก้ไขปัญหาใดใดไปได้โดยง่าย แต่หากดวงเดิมมีคุณหนุนนำแล้ว การได้ฤกษ์ยามที่ดีก็จะช่วยส่งเสริมให้ไปได้ดียิ่งๆขึ้น

วิชาฤกษ์นั้นเป็นวิชาที่ว่าด้วย กาลและเวลาที่เหมาะสม  สำหรับกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราสามารถจะหวังผลตามที่เราปรารถนาได้ โดยใช้กฎเกณฑ์ของวิชาโหราศาสตร์ที่ตกทอดสืบต่อมานับพันๆปี มาแล้วและยังใช้ได้ผลดีเยี่ยมแม้ในปัจจุบัน

แต่ปัจจุบันคนทั่วไปมักเข้าใจผิดคิด เอาเองว่า วันนี้ดีวันนั้นดี เช่นว่า วันที่ 9 เป็นวันดี วันพฤหัสบดีเป็นวันดี หรือเวลา เช่น 09.09 นาทีเป็นฤกษ์ยามงามดีเป็นต้น ซึ่งผิดกับหลักการของฤกษ์ยามกันไปมากมายมายอย่างยิ่งและวันดังกล่าวที่เคยเชื่อหรือยึดถือนั้นไม่ได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของวิชาโหราศาสตร์แต่อย่างใด และก็ไม่สามารถเชื่อถือหรือรับประกันได้ว่าวันนั้นวันนี้จะดีไปได้ ตามที่เรา
ปรารถนา หรือความเชื่อแบบหมดดูชาวบ้าน เช่นบอกว่าเกิดวันอังคารแล้วจะต้องทำการมงคลวันศุกร์เท่านั้นเพราะเป็นคู่ มิตรกัน นี่ก็ไม่ใช่ฤกษ์อีกเช่นกัน  หรือใช้ฤกษ์ระบบอื่นมาปนเปกัน เช่น ปีนี้เป็นปีชง ห้ามคนเกิดลัคนาราศีเมษแต่งงาน นี่ก็ไม่ใช่ฤกษ์อีกเช่นกัน

 

หรือวันนี้เป็นวันดีเป็นวันธงชัย สามารถทำการมงคลได้ทุกชนิดอย่างอื่นไม่ต้องดู นี่ก็ไม่ใช่ฤกษ์อีกเช่นกัน บางคนก็เชื่อถือฤกษ์ยามกันเหมือนกัน แต่ก็กลับไปยึดเอาเฉพาะฤกษ์บน หรือฤกษ์งามยามดีของปฏิทินทั่วไปๆ ระบุว่าวันนี้ดีเป็นมงคล วันนี้เป็นวันอธิบดี วันธงชัย ฯลฯ แล้วก็ยึดถือเอาตามนั้น และเริ่มประกอบกิจการไปตามฤกษ์นั้นๆตามปฏิทิน ซึ่งไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด พอเมื่อเกิดปัญหา
ใดๆเกดิขึ้นก็ต่อว่า ปฏิทินโหราศาสตร์เชื่อถือไม่ได้ วิชาโหราศาสตร์หรือฤกษ์ยามไม่มีจริง

ฤกษ์จริงๆนั้นก็คือการนำฤกษ์บน ตามที่เราเห็นในปฏิทินนั่นแหละว่าวันนี้เป็นฤกษ์ดีเป็นมงคลแล้วนำผมผสมผสานกับดวงชาตาของเรา (ฤกษ์ล่าง) ว่าเข้ากันได้ไหม ตามหลักโหราศาสตร์  ซึ่งก็ไม่แน่ว่าฤกษ์ดีตามปฏิทินที่ว่าดีนั้นแต่เมื่อเอาดวงชาตาเราไปผสมแล้วกลับกลายปรากฏ ว่าเป็นฤกษ์ร้ายสำหรับเราก็เป็นไปได้ ซึ่งก็เกิดขึ้นได้บ่อยๆ เห็นกันได้แบบชาชินกันทั่วๆไป

ส่วนฤกษ์ก็มีรายละเอียดปลีกย่อยอีก ก็คือ ดวงฤกษ์ที่เราต้องการนั้นเราจะเอาไปทำอะไร เช่นว่า แต่งงาน ออกรถ ขึ้นบ้านใหม่ ลาสิกขาบท ฯลฯ ซึ่งก็ได้มีกฎเกณฑ์เฉพาะเป็นเรื่องๆไป จำอาแบบสุกเอาเผากินไม่ได้เลยเป็นอันขาด โดยเฉพาะเรื่องฤกษ์นี่ ถือว่าให้คุณให้โทษกันได้แบบเห็นแจ่งแจ้งชัดเจนมีการวัดผลกันมานานถึง 6000 ปีมาแล้ว (เฉพาะของโหราศาสตร์ภารตะ)

ตัวโหราจารย์ผู้ให้ฤกษ์เองก็มีตัวบทกฎเกณฑ์ และหลักครู ท่านกำหนดให้มาอยู่แล้ว ว่าต้องใช้กฎเกณฑ์แบบไหน ในเรื่องอะไรและหากกระทำการให้ฤกษ์โดยเจตนาร้ายแก่ผู้อื่น ก็ต้องโดนครูอาจารย์ท่านสาปแช่งกันแบบไม่ได้ผุดได้เกิดกันเลยทีเดียวดังนั้นเรี่องฤกษ์ยามโหรทั้งหลายจึงได้กลัวกันนักกันหนา บางคนเรียนโหรมานานนับสิบๆปีแต่ไม่กล้าให้ฤกษ์ยาม ก็เพราะกลัวว่าถ้าหาก
ผิดพลาดผลั้งเผลอไปก็จะเป็นโทษแก่ตนเอง ไม่เหมือนการพยากรณ์ดวงชาตาหากผิดพลาดผลั้งเผลอก็ยังจะพอทำเนา ฉะนั้นผู้ให้ฤกษ์จะต้องมีคุณธรรมเป็นหลักใหญ่ จะเห็นแก่อามิสสินจ้างใดใดไม่ได้เลย และผู้ที่ให้ฤกษ์ยามได้ก็ต้องศึกษาวิชาโหราศาสตร์การให้ฤกษ์มาไม่น้อยกว่า 10 ปีจึงพอที่ให้ฤกษ์ให้ยามกันได้

 

 

และที่ต้องระวังก็คือการใช้ฤกษ์ที่ได้มาจาก...

1.บุคคลที่ไม่มีความรู้ทางวิชาโหราศาสตร์ และไม่มีประสบการณ์เพียงพอ แต่รู้วิชาหมอดูซึ่ง  ผู้ที่จะให้ฤกษ์ยามระบบนี้กันได้มีเฉพาะผู้ที่ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทย และ หรือโหราศาสตร์ภารตะอินเดียเท่านั้น เพราะวิชานี้มีประสบการณ์การสืบทอดมามากกว่า 6000 ปี มีการตรวจสอบสอบทานหลักวิชามาโดยตลอด ส่วนวิชาโหราศาสตร์สากล หรือโหรตะวันตก ซึ่งอันนี้หลักวิชาที่ให้ฤกษ์ไม่ปรากฏชัดเจนแต่อาจจะให้วันดีวันมงคลที่สมพงษ์แก่เจ้าชะตาได้บ้าง แต่ก็ไม่มีหลักวิชาที่ให้ฤกษ์ที่เป็นระบบ  วิชาโหราศาสตร์ยูเรเนียน อันนี้มีประวิติเพิ่งเกิดมาเพียง 100 กว่าปี ปูมโหรที่บันทึกไว้ไม่เพียงพอไม่น่าจะสามารถให้ฤกษ์ยามได้แต่อาจจะให้วันดีวันมงคลที่สมพงษ์กับเจ้าชะตาได้บ้างแต่ไม่มีใครยืนยันได้ว่าถูกต้องเพราะมีปูมโหรเพียง100 ปีแต่โหราศาสตร์ภารตะมีมานาน
กว่า 5000-6000 ปี โหราศาสตร์จีนที่ให้ฤกษ์ยามได้ดีเทียบเท่ากับโหราศาสตร์ไทยนั้นก็คือ "หลักวิชาชีเจิ้งซื้ออวี"  七政四餘 หรือวิชากว๋อเล่าซิงจง 果老星宗 เท่านั้น ที่มีการคำนวนด้วยระบบดาราศาสตร์และระบบ 28 นักษัตรและใช้คัมภีร์แม่บทของอินเดียโบราณผสมผสานกับหลักวิชาของลัทธิเต๋าซึ่งในเมืองไทยไม่มีใครได้รับการสืบทอดวิชานี้หรืออาจจะมีบ้างแต่ไม่ได้เผยแพร่กันอย่างแพร่หลายเหมือนโป๊ยยี่สี่เถียว ส่วนวิชาโป๊ยยี่สี่เถียวก็จะเทียบเท่าวิชาเลข 7 ตัว 9 ฐานของไทย ความละเอียดในเรื่องการให้ฤกษ์ยามก็จะลดหลั่นกันลงไปส่วนวิชาหมอดูวิชาอื่นๆก็อาจให้วันดีและวันมงคลได้เท่านั้น "แต่ไม่สามารถให้ฤกษ์ยามได้ หรือวันที่สมพงษ์กับดวงชาตาใดใดได้"

2.ร่างทรงต่างๆ อ้างว่ารู้ฤกษ์ยามได้จากญาณทิพย์ อันนี้ตรวจสอบได้ยาก และส่วนมากก็ไม่ถูกต้อง

3.ปฏิทินแขวนที่จำหน่ายหรือแจกในท้องตลาดแล้วมีบรรยายว่าวันนี้ดีวันนั้นไม่ดี หรือวันนี้วันธงไชย ฯลฯ อันนี้ก็หยาบมากเกินไปและก็นำมาใช้เป็นหลักในการคำนวนฤกษ์ยามไม่ได้และไม่สามารถคำนวนว่าสมพงษ์กับเจ้าชาตาหรือไม่ อีกทั้งคำนวนด้วยดิถีตลาดทำให้คลาดเคลื่อนกับความเป็นจริงทางดาราศาสตร์

4.ปฏิทินโหราศาสตร์ประจำปี อันนี้ก็ต้องดูให้ละเอียดมีหลายเจ้าหลายสำนักเพราะโหรบ้านเราคำนวนกันคนละระบบปฎิทิน  ซึ่งมีความแตกต่างกันมาก หรือก็คำนวนไม่ตรงกับความเป็นจริงทางดาราศาสตร์บนท้องฟ้า ผิดฤกษ์ ผิดดิถี ฯลฯ ก็มีเห็นกันบ่อยๆทั้งหมดนี้ต้องตรวจสอบและใช้วิจารณญาณให้มาก และครูอาจารย์ผู้ให้ฤกษ์มีประสบการณ์มากน้อยเพียงใด

 

สำหรับกฏเกณฑ์ให้ฤกษ์ของโหรไทยโดยทั่วไปหลักใหญ่ๆมีดังนี้

1.ห้ามวันที่พระเคราะห์ดับ หรือวันที่ดาวเคราะห์กุมกับดาวอาทิตย์ หากให้ฤกษ์ยามในวันแบบนี้เรียกว่าจะมีความวิบัติ
2.ห้ามวันพระเคราะห์เพ็ญ คือห้ามมีดาวดวงใดดวงหนึ่งในดวงฤกษ์ ทำมุม 180 องศากับดาวอาทิตย์ นัยว่าจะเกิดเหตุขัดแย้งกันรุนแรง
ถึงขั้นแตกหักกันเลยก็ว่าได้ ส่วนจะเกิดเรื่องอะไรนั้นก็ดูว่า ดาวดวงนั้นเป็นดาวอะไรอยู่ภพอะไร มีความหมายว่าอย่างไร
3.ห้ามวันพระเคราะห์ใหญ่ทำมุม จตุโกณแก่กัน พระเคราะห์ใหญ่ๆก็เช่นว่า ดาวพฤหัส ดาวเสาร์ อังคาร ราหู
4.ลัคนาในดวงฤกษ์จะต้องไม่เป็นทุสถานะแก่เจ้าการ เช่นว่าไม่เป็น 6 เป็น 8 เป็น 12 บางครั้งแม้แต่จันทร์ในดวงฤกษ์ก็ไม่ควร
5.อย่าให้มีดาวเคราะห์สถิตย์อยุ่ ทุสถานะภพในดวงฤกษ์ ข้อนี้ก็อาจจะยากสักหน่อย แต่อย่างไรก็ตามนักโหราศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญก็อาจ
จะปรุงดาวเคราะห์ให้อยู่ใน กฎเกณฑ์ที่พอจะช่วยเหลือได้ เช่น เอาดาวบาปเคราะห์ไปอยู่ในเรือนอุปจัยแทน เช่น เรือนที่ 3 เรือนที่ 6
เรือนที่ 10 และ 11
6.อย่าให้ลัคนาลอย จะต้องมีดาวกุมลัคนาในดวงฤกษ์ด้วยเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง
7. การวางลัคนาควรให้เกาะนวางค์บาทที่เป็นราศีธาตุเดียวกัน เช่นลัคนาราศีธาตุไฟเช่นราศี เมษ สิงห์ ธนู ให้วางที่นวางค์อาทิตย์
(นวางศ์ที่ 5)
8.ห้ามวางลัคนาเกาะบาท”ฉินทฤกษ์” ก็คือ นวางค์แรกของราศีธาตุน้ำคือ ราศีกรกฏ พิจิก มีน และนวางค์สุดท้ายของราศีธาตุไฟ ซึ่ง
ก็คือราศี เมษ สิงห์ ธนู อันนี้รวมความถึง “ภินทฤกษ์”ด้วย ซึ่งเป็นนวางค์บาทฤกษ์ที่ไม่บริบูรณ์ มีอดีตและอนาคตของบาทฤกษ์เกาะ
ไปข้ามเกี่ยวของขอบเขตของราศีถัดไป นวางบาทฤกษ์เช่นนี้ไม่เป็นบูรณฤกษ์ หากไปทำการใดใดเข้า ผลร้ายและวิบัติต่างๆจะตามมา
9.กฏการให้ฤกษ์แบบโบราณของไทย เช่น ดิถีต่างๆ จักขุมายา
10.ตรวจดูกาลโยคประจำปี เนื่องจากโบราณที่ใช้มาแต่เดิมหากจะให้ แต่ขัดกับกาลโยคประจำปีที่ชาวบ้านรู้  ก็มักจะมีเหตุให้คนติเตียน
ครหาเอาได้     ความจริงแล้วกฎเกณฑ์มีมากกว่านี้นับสิบๆข้อ แต่ก็อธิบายพอเป็นสังเขปเท่านั้น