Website แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ให้บริการฤกษ์ยามชั้นสูงของโหราศาสตร์ภารตะจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ และได้ผลตอบรับดีสูงสุดเป็นปีที่ 15 แล้ว WebSite ของเราให้การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของคุณในระดับสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูงจากยุโรป "SiteGuarding" บริการดูฮวงจุ้ย แก้ฮวงจุ้ย เสริมฮวงจุ้ย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี***


 

 

เรื่องดาวหางกับโหราศาสตร์ไทยในปัจจุบัน

ในบางช่วงของรัชสมัย อย่างเช่นในรัชกาลที่ ๓ ฯ นั้น ในบางปีก็จะมีปรากฏการณ์เรื่องดาวหางมาก แต่ในบางช่วงรัชสมัยก็จะมีน้อย ท่านอาจารย์เชย บัวก้านทอง ได้ทำการแปลหนังสือ Book of Astrology และได้บันทึกเอาไว้ว่า
ดาวหางจะปรากฏให้เห็นในทุกๆปี หรือ ใน ๓/๔ ของปี แต่จะปรากฏเห็นในทวีปต่างๆของ ๔ ทิศ และจะเห็นอยู่ประมาณไม่เกิน ๑ สัปดาห์ แล้วก็หายไป ถ้าดาวหางปรากฏให้เห็นได้(ด้วยตาเปล่า) ในประเทศใดเมืองใด ประเทศนั้น เมืองนั้น จะเกิดเหตุการณ์วิปริต คือ

1.กษัตริย์ จะเป็นอันตราย
2.ยอดขุนศึก แม่ทัพใหญ่จะตาย
3. บ้านเมืองจะอลหม่าน

แต่ทั้งนี้ ท่านอาจารย์เชย บัวก้านทอง ได้สรุปเอาไว้มีข้อความที่เป็นสาระสำคัญยิ่งไว้ด้วยว่า แต่ทั้งนี้จะต้องรู้ ประเภทและลักษณะของดาวหางด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วก็เท่ากับว่า จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศกันทุกปี และบ้านเมืองตงจะล่มจมไปนานแล้ว เพราะมีดาวหางมาเยือนโลกอยู่แทบทุกปี

ซึ่งความเห็นดังกล่าวผู้เขียนเห็นว่าถูกต้อง และมีเหตุผลเป็นอย่างมาก เพราะในบางครั้ง ถึงแม้ว่า จะมีดาวหางปรากฏให้เห็นได้ในเมืองไทย แต่ก็ไม่ใคร่มีเหตุการณ์อย่างใดเกิดขึ้น หรือมิฉะนั้นแล้ว ในบางทีก็กลับเป็นเหตุการณ์ที่ไปเกิดขึ้นที่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ จึงสมควรที่พวกเราจะได้ทำความรู้จักและเข้าใจเรื่องดาวหางในวิชาโหราศาสตร์ ให้ถูกต้อง


อย่างเช่นในเมืองไทย ในช่วงปี พ.ศ.2538 จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2539 ประเทศไทย ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ของอิทธิพลสุริยุปราคา (สุริยคราส) ที่เกิดขึ้นเล็งดวงเมือง พอถึงเดือนกุมภาพันธ์ - เดือนมีนาคม พ.ศ.2539 ก็เกิดปรากฏการณ์ดาวหาง ไฮตากุตาเกะ ซึ่งพอมองเห็นด้วยตาเปล่าในเมืองไทย ได้มีลักษณะคล้ายสีเขียวอมฟ้า โดยปรากฏขึ้นอยู่ในแนวมุมสัมพันธ์กับหมู่ดาวรูปหญิงสาว และหมู่ดาวหมีใหญ่ และดวงจันทร์ได้โคจรอยู่ในช่วงนักษัตรฤกษ์ที่ 23 ธนิษฐะนักษัตรฤกษ์ ถึงนักษัตรฤกษ์ที่ 6 อารทรานักษัตรฤกษ์ จะเห็นได้ว่า ในช่วงระหว่าง เดือนเมษายน พ.ศ. 2539 จนถึงเดือนกรกฏาคม พ.ศ.2539 นั้น มิได้มีเหตุการณ์ที่เกิดจากผลกระทบของดาวหางไฮตากุตาเกะ เกิดขึ้นในประเทศไทยเลย คงมีแต่เหตุการณ์และผลกระทบที่เกิดจากสุริยคราสอันมีกำหนด 1 ปีครึ่ง เท่านั้น

แต่บรรดาประเทศอันเป็นหมู่เกาะและคาบสมุทรนั้นค่อนข้างจะได้รับผลกระทบอยู่ พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นที่ ประเทศอินโดนีเซีย สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน อิตาลี รวมทั้ง กิจการเกี่ยวกับวงการการทูตระหว่างประเทศค่อนข้างได้รับความสั่นสะเทือนไป ทั่ว ทุกประเทศส่วนใหญ่ต้องเริ่มเข้าสู่การหารือเจรจากันใหม่

ในทางตรงกันข้าม ผลที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีปรากฏการณ์ดาวหางไฮตากุตาเกะในเมืองไทยอันทำ มุมอยู่ในอริภพแก่ลัคนาดวงเมืองไปแล้วเพียง 4 เดือน (นับจากวันที่ 1 เมษายนพ.ศ.2539 เป็นต้นไป ก็จะครบกำหนด 4 เดือนในเดือนกรกฏาคม พ.ศ.2539) ซึ่งตำรากล่าวว่า “จะได้ลาภมาสู่ จะมีแขกต่างเมืองมา จะมีผู้ดีมา จะชำนะแล ฯ ” และมีอีกปกรณ์หนึ่งกล่าวว่า “ ท้าวพระยาจะประกอบด้วยไชยลาภยิ่งนักแล ฯ ” ก็ปรากฏว่าประวัติศาสตร์ของไทยก็ต้องบันทึกเอาไว้ว่า ในวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2539 นักมวยไทย ชื่อสมรักษ์ คำสิงห์ ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศอย่างสูงสุด ด้วยการชนะเลิศกัฬามวยสากลรุ่นเฟเธอร์เวท ได้เหรียญทองโอลิมปิค มาตรอบครองได้ หลังจากที่ได้รอคอยกันมาเป็นเวลานานถึง 40 ปี


การที่ประเทศไทย ได้รับชื่อเสียงเช่นนี้ นักโหราศาสตร์ส่วนใหญ่ได้วิจารณ์ว่าเป็นผลดีจากการที่ดาวพฤหัสบดีอยู่ในภพ ที่ 9 ทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้น ดาว 5 กำลังโคจรพักร์ในราศีธนูที่ประมาณ 15 องศา (ในนวางค์ 1 ตามปฏิทิน อจ.ทองเจือ อ่างแก้ว และสากล) ผู้เขียนเองก็ได้แต่ตั้งข้อสังเกตไว้ในปูมโหรในเรื่องปกรณ์โหรว่าด้วยดาวหาง กับผลอันเกิดจากดาวหางในอริภพของลัคนาดวงเมือง เอาไว้เพื่อให้พิจารณาเป็นสถิติต่อไป

สำหรับในปี พ.ศ.2540 (ขณะที่เรียบเรียงพิมพ์ครั้งที่ 2 นี้) ประเทศไทยก็ได้มีโอกาสเห็นดาวหางอีกครั้งหนึ่งชื่อว่า “ดาวหาง HALE BOPP” (ดาวหางเฮล-บอพพ์) ซึ่งว่ากันว่าดาวหางดวงนี้จะมีความสว่างสุกใสมากที่สุดมากว่าดาวหางฮัลเลย์ ที่โด่งดังเสียอีก ทางนักดาราศาสตร์ได้คำนวณแนววงโคจรของดาวหางเฮล-บอพพ์ เอาไว้ว่า จะแนวโคจรตวัดเหมือนกับจะแบ่งครึ่งท้องฟ้า (มีแนวตั้งฉากกับแกนโลก) สามารถมองเห็นได้ในประเทศไทยค่อนข้างชัดเจนราววันที่ 24-25 มีนาคม พ.ศ.2540 (ก่อนและหลังนั้นก็สามารถมองเห็นได้ แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวจะสามารถมองเห็นได้ทั้งในเวลาช่วงหัวค่ำและช่วงเช้า มืด )อยู่ในราศีมีน โดยดาวหางจะเข้าใกล้โลกมากที่สุดในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2540 และเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2540

จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว เห็นว่า “ดาวหาง HALE BOPP” (ดาวหางเฮล-บอพพ์) นั้นมีลักษณาการวงโคจรคล้ายกับดาวหางที่เรียกว่า “จลเกตุ” ในตำราดาวหางของอินเดีย ซึ่งจะส่งผลร้ายในเรื่องของโรคาพยาธิระบาด และเกิดทุพภิกภัยในท้องที่กว้าง และในช่วงระหว่างวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2540 ถึงวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2540 อันเป็นช่วงที่ดาวหางมีอิทธิพลสูงที่สุด คือมีความสุกสว่างมากที่สุด , หางจะยาวที่สุดและมองเห็นได้ในเมืองไทย โดยมีมุมสัมพันธ์ทางทิศตะวันตกเฮียงเหนือ (ทิศพายัพ) กับทิศตะวันตก (ทิศประจิม) เป็นเวลา 7 วัน


จากลักษณาการของดาวหางดังกล่าว เมื่อได้พิจารณาตามตำราดาวหางแล้วเห็นว่า มีปกรณ์โหรพยากรณ์ไว้หลากหลาย ดังนี้คือ

“จะรบกันและจะแพ้เขา”

“บ้านเมืองจะฉิบหาย จะบังเกิดการจลาจลและโรคระบาด และความอดอยากทั้งภัยธรรมชาติ จะเกิดขึ้นภายใน 18 เดือน ความแห้งแล้งจะตามมา ชนทั้งหลายจะร้องขอความช่วยเหลือ แลบ้างก็จะได้รับความทุกข์ทรมานด้วยบุตร ต้องเศร้าโศก”

“ประเทศทางทิศใต้ และประเทศทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือจะมีเหตุวุ่นวาย นักปราชญ์ราชบัณฑิตและขุนนางเมืองอื่นจะมาสู่ ให้ดูใน 3 เดือน 7 เดือน แล ฯ ”

“เมียพระยาจะไห้ พระยาจะเกิดความเพราะเมีย คนจะเสียด นางจะหนี จะมีศึก ไฟจะไหม้ คนจะร้อนใจด้วยพยาธิ จะแพ้ช้างม้าวัวควายจะตายมากนัก ข้าวเกลือหมากพลูปลาจะแพง ฝนจะตก (ต้องดูพระศุกร์ 6 ร่วม) แล ฯ ”

อีกทั้งประเทศอันสัมพันธ์แก่ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ อันได้แก่ ประเทศจีน , รัสเซีย , สหรัฐอเมริกา , โปแลนด์ , ไทย , พม่า , อินเดีย , ประเทศในตะวันออกกลาง อันได้แก่ ตุรกี ซีเรีย จอร์แดน อิรัก อิหร่าน , และประเทศทางแถบแอฟริกาใต้ตอนกลาง จะได้รับผลกระทบ จากคำพยากรณ์ต่างๆดังกล่าวข้างต้นด้วย ซึ่งเรื่องราวของคำพยากรณ์ต่างๆนั้น จะเป็นจริงหรือไม่นั้น พวกเรานักโหราศาสตร์ทั้งหลายก็ควรจะต้องค้นคว้าและบันทึกปูมโหรเป็นสถิติต่อ ไป

ส่วนเรื่องระยะเวลาที่ผลจะเกิดขึ้นนั้น ตำรากล่าวว่าจะบังเกิดผลใน 3 เดือน นับแต่วันที่ดาวหางปรากฏ (ในที่นี้ ให้ถือเอาวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2540 เป็นหลัก เพราะเป็นวันที่กล่าวว่า ดาวหางเฮล-บอพพ์ จะมีความสุกสว่างและมีหางยาวมากที่สุด ส่วนหลังจากนั้น หางจะค่อยสั้นลง เนื่องจากอยู่ด้านหลังดวงอาทิตย์) และอิทธิพลของดาวหางดวงนี้จะมีอยู่ได้นานถึง 18 เดือน หรือประมาณ 1 ปีครึ่ง เลยทีเดียว

(หมายเหตุ - ผู้เขียนยังไม่ได้ตรวจสอบว่า ดาวหางนี้ขึ้นในทิศทางใด มุมการโคจรของดาวหางที่มองเห็นด้วยตาเปล่านั้น ไปทำมุมสัมพันธ์กับหมู่ดาวนักษัตรใดบ้างรวมทั้ง เรื่องสีของดาวหางเป็นอย่างใด ซึ่งจะต้องนำเอาเหตุการณ์ทั้งหมดนี้มาพิจารณาประกอบกันในการให้คำพยากรณ์ ด้วย เท่าที่ได้ค้นคว้าผลพยากรณ์ดาวหางมานี้ ก็ทำได้เพียงแค่เทียบเคียงข้อมูลที่ได้รับจากนักดาราศาสตร์เท่านั้น)

(หมายเหตุ : หลังจากนี้จะขึ้นสู่บทที่ว่าด้วย "การสอบพระเคราะห์เมือง" -สายน้ำ)